tag:blogger.com,1999:blog-13082841859684001042024-03-14T02:11:10.239+07:00Dulyapaweenเรื่องราว ประสบการณ์การทำงาน บทความ ของ ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง .....นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.comBlogger67125tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-74759942212318075312011-12-30T19:28:00.001+07:002011-12-30T19:29:20.091+07:00บรมกษัตริย์วัฒนสถาน วันวาน..เมื่อครั้งทรงพระเยาว์บรมกษัตริย์วัฒนสถาน วันวาน..เมื่อครั้งทรงพระเยาว์<br />
<img alt="" height="150" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/12/21/images/news_img_425745_1.jpg" width="200" /><br />
เรื่อง... ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
<span style="color: blue;">เมืองไทยต้องการคนที่เป็นคน สำหรับจะได้ช่วยทำให้เจริญขึ้นอย่างคนอื่นบ้าง หม่อมฉันจะรู้สึกว่าได้รับรางวัลอย่างวิเศษ <span style="background-color: lime;">ถ้าลูกทุกๆ คนได้ช่วยทำประโยชน์ให้แก่เมืองไทยได้</span> </span> <br />
<a name='more'></a><br />
<span style="color: magenta;"> ลายพระหัตถ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กราบบังคมทูล สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2470 หนึ่งในสิ่งของส่วนพระองค์ซึ่งจัดแสดงภายในนิทรรศการ บรมกษัตริย์วัฒนสถาน นิทรรศการพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงพระเยาว์ ฉายให้เห็นถึงพระปณิธานอันมุ่งมั่นในอภิบาลอบรมพระราชโอรสพระราชธิดาเพื่อทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ </span> ตอนหนึ่งของนิทรรศการยังบอกเล่าถึงพระราชจริยวัตรเรื่องความพอเพียงที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการปลูกฝังจากสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าและสมเด็จพระบรมราชชนนี เช่น เมื่อทรงอยากได้ของเล่น สมเด็จพระบรมราชชนนีมักให้ทรงทำงานก่อนจึงจะพระราชทานรางวัลให้ ทรงสะสมทีละเล็กทีละน้อย แล้วค่อยนำเงินสะสมไปซื้อในสิ่งที่ทรงต้องพระประสงค์ ของเล่นต่างๆ เช่น รถไฟลาก สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าโปรดให้นำไม้ที่เหลือใช้งานมาตัดเป็นท่อน ทำเป็นของเล่นแทนการซื้อของเล่นฟุ่มเฟือย <br />
<span style="color: red;">นอกจากนี้ สิ่งที่ทรงเล่นเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ มักมีลักษณะที่เรียกได้ว่า ทรงเล่นเป็นงาน ซึ่งต่อมาได้ต่อยอดมาเป็นแนวพระราชดำริในการพัฒนาประเทศ เช่น ภาพวันวาน ณ วังสระปทุม เมื่อครั้งทรงเล่นปลูกป่า และเล่นขุดคลองในดินนำน้ำมาใส่ให้ไหล กล่าวได้ว่าเป็นสัมผัสแรกของความสนพระทัยในการชลประทานและการเกษตรตั้งแต่ทรงพระเยาว์ </span> <span style="color: lime;"> นิทรรศการครั้งนี้จะแสดงให้เห็นคำตอบว่าเหตุใด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระเจริญขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐและเป็นที่รักของประชาชน เพราะทรงมีสมเด็จพระบรมราชบุพการีที่ทรงประเสริฐ ทั้ง สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงอภิบาลอบรมอย่างดีตั้งแต่เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ กรรภิรมย์ กังสนันท์ คณะทำงานมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า กล่าว โดยมี ชวลี อมาตยกุล เลขาธิการมูลนิธิฯ และ พาสินี ลิ่มอติบูลย์ กรรมการมูลนิธิฯ ร่วมให้ข้อมูลในวันแถลงข่าว</span> <br />
<span style="color: cyan;"><span style="color: blue;">โอกาสนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดนิทรรศการ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาส 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชจริยวัตรอันเกี่ยวเนื่องด้วยวังสระปทุม เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ณ พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า วังสระปทุม โดยนิทรรศการแบ่งเป็น 4 ภาค ได้แก่ ภาคแรก : ยุววารราชปวัตติ์ จัดแสดงพระราชประวัติเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ วังสระปทุม ตั้งแต่พระชนมายุพรรษาเดียวใน พ.ศ. 2470 ภาคที่สอง : ราชประดิพัทธภิษิต เรื่องการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม ภาคที่สาม : ราชกฤตย์กตัญญุตา แสดงพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จมาทรงเยี่ยมสมเด็จพระศรีนครินทรบรมราชชนนี ณ พระตำหนักใหม่ วังสระปทุม และ ภาคที่สี่ : พันวัสสาราชกรณียานุวัตร จำลองภาพเมื่อครั้งเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2460 ซึ่งราษฎรจำนวนมากพายเรือมารับข้าวสารพระราชทานจากสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าที่วังสระปทุมริมคลองแสนแสบ ตลอดจนพระมหากรุณาธิคุณที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ บรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน</span> </span> นอกจากหอนิทรรศการ บรมกษัตริย์วัฒนสถาน แล้ว บริเวณพระตำหนักใหญ่ ยังจัดแสดงนิทรรศการ ยุววัฒน์รัชกรณีย์ โดยมีการจัดแสดงเอกสารสำคัญต่างๆ ตลอดจนเครื่องเล่นของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงพระเยาว์ เช่น รถลากไม้ เครื่องบินจำลอง กล้องถ่ายภาพ ปั๊มน้ำมัน และอู่ซ่อมรถจำลองและเจ๊กตู้ เป็นต้น <br />
นิทรรศการบรมกษัตริย์วัฒนสถาน และ พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า วังสระปทุม เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 มีนาคม 2555 เวลา 10.00-16.00 น. (เว้นวันอาทิตย์) ติดต่อนัดหมายเข้าชมล่วงหน้าได้ที่ 0 2252 1965-7 หรือดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ <a href="http://www.queensavang.org/">http://www.queensavang.org/</a> <br />
<span style="background-color: lime;"> นอกจากนี้ มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ยังได้จัดจำหน่ายเสื้อโปโลลายพญานาคภาพฝีพระหัตถ์ ราคาตัวละ 350 บาท และสมุดบันทึกลายพญานาคภาพฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมลายพระหัตถ์พระราชทานพรปีใหม่ จำหน่ายราคาชุดละ 240 บาท สอบถามโทร. 0 2252 9137, 0 2251 3999 ต่อ 201, 202</span>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-8766257822655828872011-12-30T19:25:00.001+07:002011-12-30T19:26:10.636+07:00รอยเท้านักเดินทาง: อรุณรุ่งแห่ง เชจูรอยเท้านักเดินทาง: อรุณรุ่งแห่ง เชจู<br />
<img alt="" height="133" src="http://image.bangkokbiznews.com/media/images/size1/2011/12/14/5eidk6aefff8gja9e9jf9.jpg" width="200" /><br />
เรื่องและภาพ : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
<span style="background-color: cyan;"> จากอดีตเกาะภูเขาไฟโพ้นทะเลซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่เนรเทศนักโทษการเมือง รวมถึงจอมนางแห่งวังหลวง “แดจังกึม” เมื่อหลายร้อยปีก่อน</span> <span style="background-color: red; color: black;">วันนี้ เกาะเชจู ไม่เพียงเป็นเกาะโรแมนติกยอดฮิตที่คนเกาหลีใฝ่ฝันมาเที่ยวตากอากาศและฮันนีมูนกันที่นี่ </span> <br />
<a name='more'></a><br />
ล่าสุดยังได้รับการโปรโมทให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลก พร้อมๆ กับความพยายามผลักดันให้เชจูเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางเมืองหลวงแห่งการประชุมและสัมมนา หรือ MICE ระดับโลก<br />
<span style="color: blue;"> ด้วยระยะเวลาเดินทางเพียงหนึ่งชั่วโมงจากสนามบินกิมโป สนามบินภายในประเทศของเกาหลีใต้ เรามาถึงเกาะเชจูในยามเช้าของวันพุธที่มีนักท่องเที่ยวเดินสวนกันขวักไขว่ทั่วสนามบิน</span> ถุงกอล์ฟใบแล้วใบเล่าถูกลำเลียงออกมาบนสายพานตามมาด้วยกระเป๋าใบโตของเหล่าผู้โดยสาร อากาศที่เย็นสบายและสนามกอล์ฟระดับมาตรฐานที่เปิดให้บริการมากมายบนเกาะตากอากาศ ทำให้ที่นี่เป็นสวรรค์ย่อมๆ ของบรรดานักกอล์ฟ<br />
อะไรจะมีความสุขเท่ากับการได้มาประชุมสัมมนาพร้อมได้ออกรอบตีกอล์ฟไปด้วย<br />
เกาะเชจู หรือ เชจูโด เป็น 1 ใน 9 จังหวัดของเกาหลีใต้ เป็นจังหวัดที่เล็กที่สุด แต่เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ห่างจากชายฝั่งราว 130 กิโลเมตร <br />
<span style="color: lime;">เกาะแห่งนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ท้องสมุทรเมื่อราว 700-1,200 ล้านปีมาแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2550 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้ "เกาะเชจูและถ้ำลาวา" ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยมีภูเขาฮัลลาซาน ซึ่งเป็นภูเขาไฟ ที่ดับแล้ว ความสูง 1,950 เมตร ตั้งอยู่ตรงกลางเกาะ </span> -1-<br />
<span style="color: red;"> รถบัสพาเรามาถึง Welcome center ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชจู เจ้าหน้าที่แจกหนังสือพร้อมอุปกรณ์แว่นสามมิติสำหรับชมพรีเซนเทชั่นแนะนำเกาะ ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายชนิดที่สองมือนับนิ้วได้ไม่หมด </span> ตั้งแต่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างน้ำตก ภูเขา ถ้ำ แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยมากมายกว่า 80 แห่ง มีให้ชมตั้งแต่พิพิธภัณฑ์หมีเท็ดดี้แบร์ พิพิธภัณฑ์ปราสาทช็อกโกแลต เซ็กซ์มิวเซียม ไปจนถึงแอฟริกามิวเซียม ฯลฯ เห็นแล้วก็อยากไปทั้งหมด <br />
<span style="color: cyan;">พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลล็อค (OSULLOC) เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกที่เรารีบกรูลงจากรถเพื่อทำเวลา หลายคนไม่พลาดโพสต์ท่าถ่ายรูปกับไม้ดัดรูปถ้วยชายักษ์สองใบที่โอบล้อมด้วยทุ่งชาเชียวยาวสุดลูกหูลูกตา ฝั่งตรงข้ามเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์จัดแสดงและบอกเล่าเรื่องราวของชา ประวัติความเป็นมา วัฒนธรรมการชงชา อุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือในการชงชาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน </span> นอกจากจะได้สัมผัสความเป็นมาของชาแล้ว ที่นี่ยังมีผลิตภัณฑ์จากชาหลายชนิดให้ได้เลือกชิม และเลือกซื้อ พร้อมกับลิ้มรสความหอมหวานของไอศกรีมชาเขียว เครื่องดื่มชาเขียวเย็น เค้กชาเขียว เป็นสวรรค์ของคนรักชาที่ต้องมาเยือน<br />
<span style="color: lime;"> นอกจากชาเขียวที่ขึ้นชื่อแล้ว น้ำ อากาศ และดินที่อุดมสมบูรณ์บนเกาะภูเขาไฟอย่างเชจู ยังเป็นแหล่งปลูกส้มที่โด่งดัง สองข้างทางสวนส้มหลายแห่งกำลังออกลูกส้มสีทองอร่าม ใครที่เป็นคอหนังซีรีส์เกาหลีเรื่อง My Girl คงจำกันได้ถึงฉากที่นางเอกมาเก็บส้มที่นี่</span> นั่งรถต่อไปไม่กี่อึดใจ เสียงไกด์ประจำทริปบอกให้รู้ว่าเรามาถึงพิพิธภัณฑ์ปราสาทแก้วแห่งเกาะเชจูแล้ว JEJU GLASS CASTLE เป็นที่จัดแสดงผลงานศิลปะที่ทุกอย่างทำมาจากแก้ว มีทั้งการเป่าแก้วและการนำแก้วมาดัดแปลงเป็นสิ่งของต่างๆ สารพัดนึกกว่า 200 ชิ้น เช่น สวนดอกไม้ สะพานแก้ว เขาวงกต รองเท้าแก้ว รถฟักทองซินเดอเรลลา ฯลฯ <br />
<span style="color: magenta;">จากนั้นเรารีบทำเวลา มุ่งหน้าสู่ Joanne Bear Museum ที่นี่เป็นมิวเซียมเล็กๆ ของเท็ดดี้แบร์อาร์ติสท์คนดัง Joanne Oh ซึ่งทำตุ๊กตาหมีทำมือด้วยความพิถีพิถัน ขั้นตอนกว่าจะได้หมีสักตัวต้องใช้เวลานับเดือน ทอเส้นใยจากธรรมชาติ ที่นี่ยังมีหมีในซีรีส์เกาหลี หมีที่ทำขึ้นพิเศษเพื่อมอบให้กับประธานาธิบดีบารัก โอบามา ใครที่ชอบหมีมาเดินที่นี่คงเพลิดเพลินไม่น้อย โดยเฉพาะมุมของฝากที่มีสินค้าหมีนานาชนิดให้เลือกติดไม้ติดมือกลับบ้าน</span><br />
ปิดท้ายโปรแกรมของวัน เรามาถึงรีสอร์ทชุงมุน เพื่อลงเรือยอชต์สุดหรู "แชงกรีล่า" ก่อนขึ้นเรือ ต้องไปรับชูชีพและมีเสื้อคลุมกันหนาว เพราะว่าเวลาออกเรือลมจะพัดแรง ก่อนขึ้นเรือยังมีการแจกยาแก้เมาชนิดดื่มเป็นขวด รสชาติเหมือนยาแก้ไอ แต่คิดถูกแล้วที่กลั้นใจกินก่อนลงเรือ เพราะแค่เรือออกจากฝั่งไปไม่กี่นาที ความหฤหรรษ์ที่มาพร้อมกับการโต้คลื่นก็เกิดขึ้นเป็นระยะ พร้อมๆ กับเสียงวี้ดว้ายของพวกเราที่ชุมนุมกันอยู่ตรงหัวเรือ เพราะคลื่นที่นี่แรงจริงๆ <br />
<span style="color: lime;">เรือค่อยๆ แล่นเพื่อให้เราได้ชมทัศนียภาพรอบๆ เกาะเชจู ซึ่งเป็นเกาะที่เกิดจากลาวา มีหินหน้าตาแปลกๆ เช่น หน้าผาที่เป็นเหมือนเสาสี่เหลี่ยมแท่งๆ ที่คนจะมาถ่ายรูปกัน และหินอีกก้อนที่เป็นสัญลักษณ์ คือ โขดหินรูปมังกร หรือ ยงดูอัม แต่ไปคราวนี้เราไม่ได้แวะไปที่นั่น </span> แสงยามเย็นพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า เป็นอะไรที่โรแมนติกทีเดียวสำหรับคู่รักที่เลือกมาฮันนีมูนที่นี่ เรือสำราญส่วนใหญ่เลยถูกใช้จัดงานปาร์ตี้แต่งงาน ถ่ายรูปแต่งงาน รวมทั้งถ่ายทำรายการทีวี และหนังเกาหลีเรื่องดังอย่าง F4 มาแล้ว <br />
<span style="background-color: blue;"><span style="background-color: white; color: blue;">บนเรือนอกจากมีอาหารเสิร์ฟ โดยเฉพาะซาซิมิปลาดิบแล้ว ยังมีกิจกรรมตกปลา ซึ่งแค่หย่อนเหยื่อไปเท่านั้น ปลาก็ติดเบ็ดขึ้นมาอย่างง่ายดาย แถมยังตัวไม่ใช่เล็กๆ สามารถมาทอดกินเป็นปลาเก๋าราดพริกได้เลยทีเดียว</span></span> ปิดท้ายกิจกรรมสุดหรูด้วยการขึ้นมาดินเนอร์ริมทะเลกับบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ด ซึ่งมีไฮไลต์อยู่ที่ก้ามปูยักษ์ รวมทั้งพวกอาหารทะเล เช่น หอย ปลาดิบ และยำปลาหมึกแบบเกาหลี กว่าจะถึงที่พักวันแรกก็ทำเอาแทบหมดแรง แต่ยังฮึดเดินไปชอปปิงแถวๆ โรงแรม ซึ่งมีร้านเครื่องสำอางและเสื้อผ้ากีฬาเปิดเรียงรายบนถนนยามค่ำคืน<br />
-2-<br />
<span style="color: magenta;">เรามีเวลาเที่ยวสำรวจเกาะเชจูแค่ในช่วงครึ่งบ่าย แต่โชคไม่ดีที่ฝนฟ้าไม่เป็นใจ สายฝนกระหน่ำลงมาจนทำให้การเดินทางของเราขลุกขลักไปบ้าง แต่เมื่อมาถึงเชจูแล้วก็ต้องมาให้เห็นไฮไลต์ของที่นี่ </span> เรามุ่งหน้าสู่ตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเชจู เพื่อไปชม ซอพจิโกจิ (Seopjikoji) คำว่า Koji เป็นคำภาษาถิ่นหมายถึงอ่าวขนาดเล็กลักษณะเป็นทุ่งหญ้ากว้างติดทะเล โด่งดังในฐานะที่เป็นสถานที่ถ่ายละครเกาหลีเรื่อง เทหน้าตักรักหมดใจ “All In” ซึ่งจากชายฝั่งจะสามารถมองเห็นความงามของโขดหินที่มีรูปแปลกประหลาด<br />
<span style="color: lime;">ที่นี่เราได้ตามรอยซีรีส์ All In ภายในโบสถ์จำลอง มีฉากจำลองเลิฟซีนให้สาวๆ ได้สวมบทบาทเป็นนางเอกจุมพิตกับพระเอกของเรื่อง นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบซีรีส์เกาหลีมักนิยมมาเที่ยวที่นี่เพื่อมาถ่ายรูป คู่กับสถานที่ที่เคยปรากฏอยู่ในละคร ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ ประภาคารสีขาวที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขา ยิ่งในฤดูที่ทุ่งดอกยูเช หรือดอกเรฟซีด ผลิดอกสีเหลืองบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งจะเห็นภาพที่สวยงามมากๆ</span> ไฮไลต์ต่อไปที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของเกาะ คือ ซงซานอิลซูบง (SUNG SAN Il Chul Bong) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องมาชมให้ได้ ไม่เช่นนั้นอาจเรียกได้ว่ามาไม่ถึงเชจู<br />
ซงซานอิลซูบง มีความหมายว่า จุดสูงสุดที่พระอาทิตย์ขึ้น เกิดจากการระเบิดตัวของภูเขาไฟที่อยู่ใต้ท้องทะเลเมื่อ 1 แสนปีที่แล้ว จนกลายเป็นยอดภูเขาไฟรูปกรวยคว่ำ โดยตรงปากปล่องถือว่าเป็นจุดชมวิวทะเลและพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงาม มีหินแหลมที่ล้อมรอบปากปล่องกว่า 99 ก้อนทำให้ปากปล่องภูเขาไฟมีลักษณะเหมือนมงกุฎ<br />
<span style="color: magenta;"> ทางเดินขึ้นสู่ยอดเขานั้นทำเป็นทางลาดพื้นหิน บริเวณรอบๆ ก็เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวตัดกับท้องฟ้า นักท่องเที่ยวมักจะเดินขึ้นไปดูบรรยากาศบนยอดเขากัน แต่น่าเสียดายที่ฝนตกและมีเวลาอยู่ที่นี่ไม่มาก ทำให้เดินขึ้นไปยังไม่ถึงครึ่งทางก็ต้องรีบกลับลงมาแล้ว</span> ระหว่างเดินลงมา มองเห็นป้ายรอบการแสดง Live Performance ของบรรดา "เอียนโย" ผู้หญิงนักดำน้ำแห่งเกาะเชจู ซึ่งเป็นสาวชาวบ้านที่ดำลงไปในทะเลเพื่อเก็บหอยเม่น เปลือยหอย และปลาหมึกยักษ์ เป็นอาชีพโบราณดั้งเดิมของผู้หญิงบนเกาะ และถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์อันเก่าแก่ของเกาะเชจู ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ของเราพลาดโอกาสชมไปอย่างน่าเสียดาย <br />
<span style="color: blue;"> ปิดท้ายโปรแกรมด้วยการไป ถ้ำมานจังกุล (Manjang cave) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ มีความยาว 13.4 กิโลเมตร เป็นถ้ำที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของลาวาที่ยาวที่สุดในโลก ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตบนเกาะเชจู</span> -3-<br />
<span style="color: red;">วันสุดท้ายก่อนอำลาเชจู ฝนยังคงโปรยปราย จากเดิมที่จะไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านบนเกาะที่ตลาดขายปลา จึงเปลี่ยนโปรแกรมมาที่ เชจู เลิฟแลนด์ เซ็กซ์มิวเซียมอันโด่งดังของเกาะเชจูแทน ที่นี่ถือเป็นดินแดนแห่งงานศิลป์อีโรติก แบ่งเป็นสองส่วน คือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งและในร่ม ส่วนแรกที่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งนั้น มีการจัดแสดงประติมากรรมเป็นรูปท่วงท่าลีลาการร่วมรักแบบต่างๆ </span> ส่วนที่สองที่เป็นพิพิธภัณฑ์ในร่ม จัดแสดงเกี่ยวกับความรู้เรื่องเพศศึกษา และเครื่องมือตัวช่วยกระตุ้นต่อมเซ็กซ์ ตลอดจนมุมเซ็กซ์ช้อป ที่มีไว้ขายสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ พิพิธภัณฑ์ในร่มมีทั้งหมดสองชั้นด้วยกัน เมื่อขึ้นมาบนชั้นสองจะได้เห็นการจำลองเรื่องราวทางเพศของชาวเกาหลีผ่านตัวโมเดลจิ๋ว ในวันที่ไปเยือนที่นี่ รู้สึกได้ว่าเสียงหัวเราะของผู้คนจะดังกว่าที่ไหนๆ <br />
เวลาเพียง 3 วัน 2 คืน พร้อมกับสภาพฝนฟ้าอากาศที่ไม่เป็นใจ ถ้าเป็นการทำความรู้จักกัน มาเชจูครั้งนี้ก็คงต้องถือว่าเป็นแค่แรกพบสบตา เพราะที่นี่ยังมีสถานที่ที่น่าไปอีกหลายแห่ง<br />
<span style="color: cyan;"> ไม่ว่าจะเป็น SONG-UP FOLK VILLAGE หมู่บ้านวัฒนธรรมซงอับ ตั้งอยู่ตีนเขาฮัลลา หมู่บ้านพื้นเมืองที่รัฐบาลอนุรักษ์ไว้, CHONJIYON FALLS น้ำตก ชงจียอง จุดถ่ายรูปและวิวที่สวยมาจนคู่ฮันนีมูนเกาหลีทุกคู่ต้องมา, ปราสาทช็อกโกแลต ศูนย์รวมของช็อกโกแลต เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของเกาหลีที่สร้างด้วยหินภูเขาไฟแห่งเกาะเชจู นอกจากนี้ยังมีตลาดเชจูดงมุน ที่ยังคงมีชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของชาวเกาะเชจู โดยมีสินค้าหลักๆ อย่างปลาทะเลสด ผลไม้เมืองร้อน รวมทั้งผลิตภัณฑ์พิเศษของเชจู-โด นั่น คือ ปลาบรีม อ๊อกดอม เป๋าฮื้อและส้ม </span> แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ 3 วัน 2 คืน ของการมาเยือนเชจู ก็ทำให้ได้เห็นอรุณรุ่งแห่งการท่องเที่ยวบนเกาะเชจู ซึ่งมาพร้อมกับโครงการก่อสร้างสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ๆ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่ค่อนข้างเปิดเสรีสู่การเป็น Free International City เช่น หากลงทุนโครงการคอนโด ค้าปลีก เรียลเอสเตท มูลค่าตั้งแต่ 500 ล้านวอนขึ้นไป ก็จะได้รับสิทธิเป็นพลเมือง เป็นต้น <br />
ทั้งหมดนี้คือความพยายามเพื่อปัดหมุดเชจูบนแผนที่การท่องเที่ยว ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก <br />
<span style="color: lime;"> การเดินทาง <br />
เชจูโด หรือ เกาะเชจู อยู่ทางใต้ของกรุงโซล ซึ่งเราได้เห็นบรรยากาศสวยๆ กันบ่อยๆ จากซีรีส์เกาหลีต่างๆ หากเดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงโซลจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง ทั้งยังมีเที่ยวบินตรงจาก โอซากา นาโงยา ฟูกูโอกะ เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง มายัง เชจู อีกด้วย หรืออีกทางเลือกหนึ่งจะเดินทางมาจาก พูซาน วานโด อินชอน ยอซู หรือ มกโพ โดยเรือเฟอร์รี่ก็ได้ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่แยกออกไปจากแผ่นดินใหญ่ และมีบรรยากาศโรแมนติกแบบประเทศในเขตร้อน โดยมีสี่ฤดูและอากาศอบอุ่นสบาย อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 15 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปีและในฤดูร้อนอุณหภูมิโดยเฉลี่ยคือ 22-26 องศาเซลเซียส คู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงานและนักท่องเที่ยวจึงนิยมไปเที่ยวที่นี่</span><br />
<br />
<span style="color: lime;"> </span><br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-46307754861966711732011-12-30T19:20:00.001+07:002011-12-30T19:21:06.055+07:00'ปฏิบัติการทาร์ซาน' กู้ภัยป่าคอนกรีต<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">'ปฏิบัติการทาร์ซาน' กู้ภัยป่าคอนกรีต</div><div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/11/14/images/news_img_419343_1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="132" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/11/14/images/news_img_419343_1.jpg" width="200" /></a></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
เรื่อง ... ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
ภาพ : สกล สนธิรัตน </div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"> </div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"> <span style="background-color: lime;">จากผืนป่า “กรุงชิง” ถึงป่าคอนกรีต “กรุงเทพฯ” สัญชาตญาณนักถอดรหัสป่าแห่ง “เขาหลวง” เชื่อว่าภัยพิบัติธรรมชาติเพิ่งจะแค่เริ่มต้นนับหนึ่งเท่านั้น</span> <br />
<a name='more'></a><br />
<span style="background-color: white; color: blue;">“เมื่อต้นปีเราเพิ่งจะหยอกกันว่า ภัยพิบัติครั้งต่อไปจะไปกู้ที่ไหน ผมบอกว่ากรุงเทพฯ เตรียมตัวไว้เลย แล้วน้ำก็มาจริงๆ” นเรศ สุขรินทร์ นักเดินป่าเจ้าของฉายา ทาร์ซานบอย แห่งเขาหลวง เอ่ยให้ฟัง ระหว่างจากบ้านที่”เมืองคอน”นำทีมนักเดินป่าอาสากู้ภัยเดินลุยน้ำเน่า เสี่ยงไฟช็อตไฟรั่วในป่าคอนกรีตมานานร่วมครึ่งเดือน</span> <span style="color: magenta;">หนุ่มนักเดินป่าคนนี้ เคยสร้างวีรกรรมแมนๆ โรยตัวโหนเชือกข้ามลำน้ำที่เชี่ยวกราก เดินเท้าปีนป่ายเข้าไปช่วยเหลือหมู่บ้านในหุบเขาซึ่งถูกตัดขาดเมื่อน้ำถล่มพื้นที่ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช เดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนกลายมาเป็นภาพนาทีชีวิตในนิทรรศภาพถ่าย”น้ำตา น้ำใต้ น้ำใจ”ที่ช่างภาพอาสากรุงชิงร่วมกับกลุ่มสห+ภาพ หาทุนฟื้นฟูชุมชนที่ได้ผลกระทบ </span> ก่อนจะสานต่อภารกิจนักเดินป่าอาสากู้ภัยเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ในเดือนสิงหาคม ตามมาด้วยเหตุการณ์มหาอุทกภัยล่าสุดในมหานครเมืองหลวง <br />
<span style="color: #0b5394;"> “ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการอาสากู้ภัย ตั้งแต่เดือนมีนาคม เจอมาหลายเคสจนหมดเรี่ยวหมดแรง แต่นี่เพิ่งแค่นับหนึ่งนะ ผมคิดว่ารอบของธรรมชาติกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง และธรรมชาติของภัยพิบัติใหญ่ๆ ก็มักจะไม่เกิดซ้ำที่เดิม”</span> 16 ปีของการคลุกคลีอยู่กับป่า นำพานักเดินป่ามากมายไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของผืนป่าเขาหลวง ทาร์ซานบอย เชื่อว่า ทุกครั้งที่จะเกิดเหตุภัยพิบัติ มักจะมีรหัสธรรมชาติส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า <br />
<span style="background-color: lime;">บางเรื่องอยู่เหนือเหตุผลจะอธิบาย แต่สัมผัสได้จากสัญชาตญาณแห่งป่า เช่นที่กรุงชิงเมื่อ 6 ปีก่อน เขาเคยพบความเปลี่ยนแปลงของป่าบนภูเขาแห่งหนึ่ง ไผ่บางชนิดล้มตายพร้อมกันทั้งหุบเขา </span> “ผมกากบาทในใจ เริ่มนับหนึ่งรอดูว่าในรอบ 10 ปีนี้จะต้องมีภัยธรรมชาติบางอย่างเกิดขึ้น”<br />
ปรากฎการณ์ธรรมชาติบางอย่างที่ผิดเพี้ยน เช่น อากาศหนาว และฝนตกในหน้าร้อน จึงไม่ใช่แค่เรื่องขำๆ ทุกอย่างล้วนเป็นรหัสธรรมชาติที่กำลังบอกอะไรบางอย่างกับเรา เพียงแต่จะสังเกตกันหรือไม่ <br />
<span style="color: blue;">ปฏิบัติการ “รวมกันเมื่อภัยมา” ของกลุ่มนักเดินป่าอาสากู้ภัยกลุ่มเล็กๆ จึงก่อตัวขึ้น เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่ภารกิจที่ใหญ่โต แค่พยายามนำความสามารถที่มีอยู่มาช่วยเหลือใครสักคนให้คลายความทุกข์ การทำงานไม่ว่าจะช่วยคนหนึ่งคนหรือหมื่นคน ล้วนมีคุณค่าและความหมายไม่น้อยไปกว่ากัน </span> นักเดินป่าแค่ไม่กี่คน ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีรถ ไม่มีเรือ จะทำอะไรได้บ้าง เป็นข้อจำกัดที่พวกเขาเลือกจะก้าวข้าม เพราะถ้าไม่เริ่มนับหนึ่งก็จะไม่มีทางเริ่มต้น นาทีนี้ใครทำอะไรได้ทำเลย ทำตามกำลังเท่าที่มี ช่วยได้แค่ไหนทำไปก่อน<br />
ลูกบ้าเที่ยวล่าสุดของทีมนักเดินป่าอาสากู้ภัยเวอร์ชั่นบุกป่าคอนกรีต จึงเริ่มต้นจากคนแค่ 3 คน เงินทุนเพียง 3 พันบาท <br />
<span style="background-color: magenta;"> เริ่มจากการโบกรถและเดินดุ่มๆ ฝ่าน้ำระยะทางนับสิบกิโลเมตร เข้าไปสำรวจพื้นที่ สภาพปัญหา ความต้องการของผู้ประสบภัยในย่านกรุงเทพฯฝั่งตะวันตก เริ่มจากโครงการหมู่บ้านพฤกษาในย่านวัดแก้วอินทร์ที่บางใหญ่ ต่อเนื่องไปแถวคลองมหาสวัสดิ์ และพุทธมณฑลสาย 3 โดยตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ ถนนกาญจนาภิเษก </span> ควบคู่กับการตั้งกลุ่มติดต่อกันผ่านเฟซบุ๊ค เชื่อมโยงแนวร่วมกับเครือข่ายต่างๆ เช่นกลุ่มสห+ภาพของจิระนันท์ พิตรปรีชา, กลุ่มช่างภาพ Foto For Friends เช่น สกล สนธิรัตน ที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่น้ำถล่มกรุงชิง นอกจากนี้ยังมี นิพัทธ์พงษ์ ชวนชื่น เพื่อนเดินป่าเจ้าของเว็บไซต์ trekkingthai.com ,เครือข่ายจิตอาสาและอาสาสมัครกู้ภัยอื่นๆ แบ่งหน้าที่กันทำงานทั้งทีมภาคสนามและทีมสนับสนุน <br />
“<span style="color: lime;">ถ้าคิดว่าจะช่วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอ อะไรที่ทำได้ทำไปก่อน เพราะภาครัฐก็มีเคสเยอะอยู่แล้ว และมองว่ามีเคสที่เร่งด่วนกว่า บางพื้นที่ที่อยู่ลึกๆ มีหมู่บ้านเยอะๆ จึงอาจดูแลได้ไม่ทั่วถึง ขณะที่ความช่วยเหลือจะมัวรอแต่ระบบหรือเซ็นอนุมัติอย่างเดียวไม่ได้ </span> ในช่วงแรกๆ การทำงานของเราเน้นที่ภารกิจเข้าไปเพื่อสื่อสารมากกว่าช่วยเหลือ เริ่มจากมีแค่ยากับถุงยังชีพเล็กๆ แรกๆ ชาวบ้านบางคนไม่เข้าใจ ทุกคนโมโห โกรธ ไม่สนว่าเราเป็นใคร คิดว่าเรามีหน้าที่ต้องให้อย่างเดียว เคยเอาถุงยังชีพเข้าไป 150 ชุด ชาวบ้านรุมเราว่าเขาไม่ได้ ผมสัญญาว่าจะเอามาให้อีกวันหลัง ผมออกมาควานหาใหม่เอาเข้าไปอีก 600 ชุด...<br />
บางคนเห็นชื่อทีมเราบนเสื้อ สงสัยว่านักเดินป่าเข้ามาทำอะไร ผมบอกเราเป็นแค่คนธรรมดารวมกลุ่มกันเอง เป็นห่วงเลยเข้ามาช่วย ไม่ได้เป็นองค์กรอะไร บางคนก็พูดคุยดี แต่บางคนก็ไม่ค่อยต้อนรับ สิ่งเดียวที่จะทำให้เขายอมรับเรา คือการพูดจริงทำจริง<br />
<span style="color: red;"> กฎการทำงานของทีมอาสาเรา คือใครก็ตามรับปากอะไรไว้กับชาวบ้านแล้ว ต้องทำให้ได้ เขาถึงจะให้ความเชื่อใจ”</span> ใบเบิกทางง่ายๆ ของการทำงานอาสาต่างถิ่น คือ การหยิบยื่นมิตรไมตรีด้วยยาแก้น้ำกัดเท้า ทำงานโดยเจาะเข้าไปประสานงานสร้างเครือข่ายกับคนในพื้นที่ บางที่หากไม่มีผู้นำชุมชน จะขอให้ช่วยกันรวมกลุ่มตั้งตัวแทน เพื่อสะดวกในการติดต่อประสานความช่วยเหลือ<br />
<span style="color: blue;">“สไตล์ของเราคือเดินทางเข้าไปเจาะข้อมูล ดูสถานการณ์ในพื้นที่ก่อน ศึกษาเส้นทาง และดูว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไร เพื่อกลับมาประสานเอาไปให้ เราเข้าไปหาเขาถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกไปดูว่าอยู่อย่างไร ครั้งที่สองหาสิ่งที่เขาต้องการเอาไปให้ และครั้งที่สามคือดูความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร เราอาจจะทำงานได้น้อยมาก แต่พื้นที่นั้นจะได้ความต้องการครบโดยที่เราไม่ทิ้งเขา”ทาร์ซานหนุ่มเล่าถึงรูปแบบการทำงาน</span> <br />
พร้อมเสริมว่า วันแรกที่ลุยน้ำผจญป่าคอนกรีตทำเอาแทบสลบ เพราะน้ำพัดพาทั้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ มีทั้งสารพิษ ความสกปรกสูง ไม่เหมือนกับน้ำป่าธรรมชาติที่อย่างมากก็สกปรกแค่โคลน <br />
นั่นเป็นความแตกต่างหนึ่ง แต่ถ้าไม่ลุยน้ำสกปรกเหล่านั้นเข้าไป เราก็อาจไม่รู้เลยว่าชาวบ้านอยู่กันอย่างไร<br />
“ผมมองว่าถ้าเราจะช่วยเขาจริงๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดเรื่องการจะตัดสินใจชีวิตแทนผู้อื่น คุณควรเข้าใไปอยู่ในสภาพเดียวกับเขา เข้าไปเห็นว่าเขาอยู่กันยังไง เจอกับอะไร แล้วค่อยสรุปว่าเขาควรย้ายจากบ้านไปอยู่ศูนย์อพยพ ไม่อย่างนั้นเราอาจเข้าใจผิดในความต้องการ <br />
<span style="background-color: magenta;"> ผมคิดว่า บางคนยอมตายที่บ้านมากกว่าที่ศูนย์อพยพ เพราะคนเราไม่ได้อยู่แค่การมีชีวิตอย่างเดียว แต่อยู่ด้วยอะไรบางอย่างที่มีความหมายต่อการมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นข้าวของ ทรัพย์สิน สัตว์เลี้ยงหรืออะไรก็ตาม ถ้านั่นคือทั้งชีวิตของเขา ลองถามซิว่าเป็นคุณจะอยากออกจากบ้านคุณมั้ย ถ้าต้องทิ้งทุกอย่างแล้วไปหาเส้นทางใหม่เอาข้างหน้าโดยที่ไม่รู้ว่าอนาคตคืออะไร</span> ผมเคยเจอคุณป้าคนหนึ่งที่ไม่ยอมอพยพ ป้าบอกว่าทั้งชีวิตเขามีแค่บ้านหลังนี้ คงไม่ไปหรอก โอเคงั้นเดี๋ยวเจอกันใหม่ป้า ผมมองว่าหลังจากนั้นป้าอาจจะตาย แต่นั่นเป็นการจากลาที่ดี ดีกว่าผมส่งป้าไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่ความปรารถนาของเขา”<br />
ทาร์ซานบอยสะท้อนมุมมองว่า ในต่างประเทศ ประชาชนค่อนข้างเชื่อมั่นในระบบเตือนภัยและหน่วยงานที่ดูแลด้านนี้ เมื่อบอกให้อพยพหมายถึงมีระบบรองรับ แต่ประเทศเรายังไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักกับเรื่องนี้ บางทีถ้ารู้ข้อมูลว่าน้ำจะท่วมมิดหัวการตัดสินใจของบางคนอาจจะเปลี่ยนไปคนละแบบ<br />
แต่ถึงต่อให้จะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอย่างไรก็ควรต้องให้สิทธิผู้ประสบภัยตัดสินใจชีวิตของตัวเอง และถึงแม้ว่าเขาจะร้องขอให้เข้าไปช่วยอพยพภายหลัง อาสาคนเดิมมองว่านั่นถือเป็นหน้าที่ที่รัฐจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ <br />
นอกเหนือจากอุปสรรคกวนใจเรื่องมลพิษของน้ำ ความแตกต่างของการทำงานของนักเดินป่าในเมืองคือข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกับการลุยป่า <br />
<span style="color: red;"> “ถ้าเป็นในป่า เราเดินตัดป่าได้ ข้ามไปได้ทุกที่ แต่ในเมือง เราปืนกำแพงบ้านเขาไม่ได้ ว่ายน้ำผ่านหลังคาบ้านเขาไม่ได้ เราต้องไปตามซอยหมู่บ้านที่มีทั้งอันตรายจากไฟฟ้า อันตรายจากสิ่งที่เราไม่รู้จัก อันตรายจากสารพิษ”</span> นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของทัศนคติและระบบต่างๆ ในสังคมที่ไม่เอื้อกับการทำงานของอาสา การเข้าถึงการสนับสนุนยังต้องอาศัยคอนเนคชั่นเป็นปัจจัยสำคัญ ขณะที่หลายองค์กรหลายมูลนิธิทำงานอาสาในเชิงประชาสัมพันธ์ ในเชิงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร ผู้ให้การสนับสนุนบางรายโดยเฉพาะภาคการเมืองยังมีเงื่อนไขว่าเอาของไปแจกแล้วให้บอกด้วยว่ามาจากใคร คราวต่อไปถึงจะช่วยสนับสนุนอีก<br />
“เราเลือกที่จะมองข้ามประเด็นเหล่านั้น เราเปิดรับถุงยังชีพไม่จำกัดค่าย จากใครก็ได้ หากนั่นคือความช่วยเหลือ เป็นสิ่งของและอาหารที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านได้ สิ่งที่เราสนใจมากกว่าคือการเอาความช่วยเหลือเข้าไปให้ถึงชาวบ้าน”<br />
เขายังสะท้อนมุมมองว่า ที่ผ่านมางานอาสายังขาดการทำงานเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายอย่างเป็นระบบ ทำให้บางครั้งการช่วยเหลือซ้ำซ้อนบ้าง ขาดๆเกินๆบ้าง <br />
“<span style="color: blue;">ถึงจะเป็นระบบที่แย่ แต่ถ้าเราทำดี พยายามเป็นส่วนดีในระบบที่แย่ ผมว่ามันดีกว่าจะมัวนั่งรอให้ระบบดีก่อนแล้วค่อยลงมือทำ เพราะน้ำกับความเดือดร้อนไม่เคยรอใคร...”<br />
ประเด็นต่อจากนี้ที่อยากมองร่วมกันไปข้างหน้าหลังเหตุการณ์</span>ครั้งนี้ คือ การปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยของสังคม การสร้างคนให้มีสปิริต มีน้ำใจ มีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน มากกว่าการมุ่งไปที่การสร้างสิ่งก่อสร้าง<br />
ประสบการณ์นักเดินป่า มองว่า สิ่งที่คนกรุงกำลังเจอ คือน้ำป่าในเมือง ซึ่งทักษะของคนกรุงเทพฯ ในการดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติ หรือช่วยเหลือตัวเองมีน้อยมาก <br />
“ผมเห็นจุดอ่อนของคนที่อยู่กับเทคโนโลยีมากๆ ซึ่งปัญหาใหญ่อาจไม่ใช่ความรุนแรงของภัยพิบัติ แต่คือการปรับตัวให้อยู่กับธรรมชาติอย่างรู้เท่าทัน เอาแค่ขาดไฟฟ้า ประปา ขาดการสื่อสารโทรศัพท์มือถือก็แย่แล้ว<br />
<span style="color: magenta;"> สิ่งที่ต้องยอมรับ คือเราจะต้องอยู่กับน้ำท่วมแบบนี้ แต่อย่าไปกลัวกับสิ่งที่เห็น ตอนนี้ทุกคนกลัวไปหมด การมีชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางภัยพิบัติ ต้องมีทักษะในการดำรงชีพ อย่างน้อยก็ควรฝึกการหุงข้าว ต้มน้ำ วิธีทำน้ำสะอาดที่อาจใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเม็ดมะรุม การแพ็คถุงยังชีพส่วนตัวไว้ มีอุปกรณ์ให้แสงสว่าง มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น เชือก ยา ควรจะมีอาหารแห้งอย่างน้อย 1-2 เดือน นี่แหละโอกาสดีที่สุดแล้วที่จะได้บทเรียนของการใช้ชีวิต ไม่ต้องซ้อมเลย คุณได้เจอของจริงแล้ว”</span> ทาร์ซานบอยให้คำแนะนำ ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ทีมกู้ภัยชุดใหม่ที่มีพี่ชายเข้ามานำทีมแทนได้ไม่กีวัน ส่วนตัวเขาขอถอยกลับไปตั้งหลักที่นครศรีธรรมราช ซึ่งยังไม่แน่ว่าภาคใต้จะมีเหตุการณ์ให้ได้ออกแรงกู้ภัยส่งท้ายปีหรือไม่ <br />
<span style="color: lime;">จากจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มอาสาไม่กี่คน ไม่มีอุปกรณ์ และไม่มีเงิน ถึงวันนี้ กลุ่มนักเดินป่าอาสากู้ภัยขยายเครือข่ายแนวร่วมหลากหลายอาชีพ ทั้งนักเดินป่า และไม่ใช่นักเดินป่า ยังมีผู้หญิงที่เข้ามาลุยอาสาทำงานไม่แพ้ผู้ชาย บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจ พนักงานบริษัท พนักงานราชการ เว้นวรรคงานประจำมาช่วย แม้ว่าตัวเองจะเป็นผู้ประสบภัยในครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน บางคนอยู่ไกลต่างจังหวัด ลางานมาเป็นอาสาก็มี </span> ล่าสุด ยังเริ่มขยายภารกิจโดยทำงานร่วมกับทหารมาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีหน้าที่กู้ภัยเคสฉุกเฉินเล็ก ๆ ที่ทหารไม่สะดวกเข้าไป เช่น อพยพคนป่วย หรือกู้ชีวิต โดยทหารช่วยสนับสนุนด้านพาหนะ ในพื้นที่ทวีวัฒนา ซึ่งมีนักเดินป่า ทหารและเขต ทำงานร่วมกัน <br />
เป้าหมายหลักของการรวมกลุ่มอาสานักเดินป่ากู้ภัย คือการช่วยเหลือชาวบ้านในภาวะฉุกเฉิน และเป้าหมายในอนาคต คือการดำรงสถานะกลุ่มไว้สำหรับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีฐานทัพส่วนตัวเล็กๆ เป็นกองกลางอุปกรณ์พื้นฐานการกู้ภัย ทาร์ซานบอย บอกอย่างเรียบๆ ง่ายๆ ว่า <br />
<span style="background-color: blue;">“<span style="color: red;">คอนเซ็ปต์เราเหมือนแบตแมน ถึงเวลาภัยมา ก็รวมตัวกันไปช่วย ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเราคือใคร”</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div> ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-33126496256575971702011-12-30T19:14:00.001+07:002011-12-30T19:15:25.089+07:00รถอาหารเพื่อนพึ่ง (ภาฯ)..มาหาท่านรถอาหารเพื่อนพึ่ง (ภาฯ)..มาหาท่าน<br />
<img alt="" height="134" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/11/08/images/news_img_418071_1.jpg" width="200" /><br />
เรื่อง .. ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
<span style="color: lime;">ผลิตอาหารปรุงสุกให้ได้วันละ 1 แสนชุด <span style="color: blue;">ถือเป็นเป้าหมายการผลิตอาหารมากที่สุดครั้งประวัติการณ์ ซึ่งมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย</span> </span><span style="color: red;">ระดมสรรพกำลังร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ส่งต่ออาหารถึงยังผู้ประสบภัย</span><br />
<a name='more'></a><br />
<span style="color: magenta;">ในภาวะที่อาหารปรุงสุกยังมีความต้องการและขาดแคลน ท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่คาดว่าจะยาวนานนับเดือน </span><br />
ข้อจำกัดของการทำอาหารเพื่อผู้ประสบภัยคราวละมากๆ คือ การหุงข้าว โดยทั่วไปแค่วันละ 3 พันชุดก็ถือเป็นงานใหญ่แล้ว แต่ด้วยวิธีการหุงข้าวแบบใหม่ และความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ขณะนี้สามารถทำอาหารได้แล้ววันละ 2 หมื่นชุด และมีเป้าหมายจะทำให้ถึงวันละ 1 แสนชุด รศ.ดร.นายแพทย์พิชิต สุวรรณประกร รองประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ให้ข้อมูลในวันเปิดตัว โครงการ รถอาหารเพื่อนพึ่ง (ภาฯ)..มาหาท่าน และโครงการที่พักพิงฟื้นฟูจิตใจ โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงเปิดโครงการ โดยทรงโบกธงปล่อยขบวนรถซึ่งประกอบด้วยรถครัว รถบันเทิงสันทนาการเต็มรูปแบบ รถขบวนสิ่งของ พร้อมทรงนำขบวนไปยังชุมทางบนทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ และเสด็จไปยังศูนย์พักพิงสนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก เพื่อทรงเยี่ยมผู้ประสบภัย <br />
<span style="color: lime;"> ทั้ง 2 โครงการที่เปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งมิติใหม่ในการบรรเทาทุกข์ เริ่มจากนำร่องระบบกระจายอาหารเพื่อเข้าถึงผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง โดยตั้งชุมทางรถอาหารพร้อมหน่วยแพทย์อาสาอยู่บนทางด่วนโทลล์เวย์ เพื่อกระจายสิ่งของและความช่วยเหลือผ่านทางรถและเรือ ส่งต่อไปยังสถานีย่อยต่างๆ ในพื้นที่น้ำท่วมทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ เช่น ย่านรังสิต ปทุมธานี ลำลูกกา ดอนเมือง สายไหม </span><br />
ปัญหาใหญ่คือการกระจายอาหารจำนวนมากๆ ให้ทั่วถึง ผู้ประสบภัยบางคนออกมารอแต่เช้าแต่กว่าอาหารจะไปถึงบางทีก็เย็น ระบบรถส่งอาหารกระจายไปตามสถานีย่อยเป็นรูปแบบใหม่ที่เรานำมาใช้ โดยจะมีเวลานัดหมายตามแต่ละสถานี มีเต็นท์และแคร่ให้นั่งรอ ระหว่างนั้นยังมีการสอนวิธีทำน้ำดื่มใช้เอง โดยสถานีส่งของของเราครอบคลุม 3 ระดับทั้งที่อยู่ติดถนนใหญ่ และที่ลึกไปในชุมชนจะมีผู้นำชุมชนเป็นตัวแทน ส่วนพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงยากจะมีบรรดาอาสาสมัครกู้ภัยเข้ามาช่วยลำเลียง รองประธานมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) กล่าว พร้อมเชิญชวนผู้มีจิตอาสาที่มีความพร้อมด้านรถหรือเรือ เข้ามาเป็นอาสาสมัคร ติดต่อได้ที่โทร.0 2256 4427 หรืออีเมล <a href="mailto:pichitsv@gmail.com">pichitsv@gmail.com</a> <br />
<span style="color: blue;">ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าให้ฟังว่า แต่ละวันที่โรงครัวมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) บริเวณด้านข้างศาลาพระเกี้ยวจะมีอาสาสมัครทั้งอาจารย์ นิสิตนักศึกษา รวมทั้งแม่ค้า ตื่นตั้งแต่ตีสองมาช่วยกันหุงข้าว ทำกับข้าว กว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจแต่ละวันในช่วงหัวค่ำ โดยนำเทคโนโลยีตู้นึ่งหุงข้าวจำนวน 7 ตู้เข้ามาช่วยร่นระยะเวลาหุงข้าวให้สุกเร็วขึ้น รวมทั้งใช้เทคนิคเติมน้ำส้มสายชูเพื่อช่วยในการเก็บรักษาได้นานถึง 3 วัน</span> <br />
ภัยพิบัติครั้งนี้ทำให้เกิดการผนึกกำลังส่งต่อความช่วยเหลือโดยไม่มีสี ไม่มีค่าย เพราะการช่วยเหลือครั้งนี้ยากเกินกว่าที่ใครจะทำเพียงคนเดียว ในพื้นที่น้ำท่วมต่างจังหวัดยังมีชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ปัญหาการจัดการอาหารจึงไม่เท่ากับกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสังคมแบบเมืองต่างคนต่างอยู่ ขณะที่ยังขาดกระบวนการจัดการแบบเป็นระบบเท่าที่ควร ชาลอต โทณวณิก ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สะท้อนมุมมองภาคเอกชน โดยนอกจากโครงการรถอาหารแล้ว ในส่วนภาคเอกชนยังช่วยกันเข้ามาเติมเต็มโครงการที่พักพิง ฟื้นฟูดูแลจิตใจ เพราะนอกจากที่พักและอาหารประทังชีวิตแล้ว สิ่งสำคัญที่สุด คือ ด้านจิตใจ <br />
<span style="color: magenta;"> โครงการนี้จึงเน้นสร้างกำลังใจผ่านคาราวานรถประกอบอาหารกับรถสันทนาการเคลื่อนที่ เริ่มจากจุดแรกที่ศูนย์พักพิงสนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยมีศิลปินนักร้องชื่อดัง เช่น ตูน บอดี้แสลม, เจนนิเฟอร์ คิ้ม, โก้ มิสเตอร์แซกแมน, โจ นูโว, กบ ทรงสิทธิ์ ฯลฯ มาร่วมให้ความบันเทิง โดยสามารถปรับเปลี่ยนเป็นเวทีมินิคอนเสิร์ต คาราโอเกะ เวทีสอนเต้นแอโรบิก เคลื่อนเป็นคาราวานไปพร้อมกับรถประกอบอาหารสดซึ่งสามารถปรุงอาหารเลี้ยงผู้ประสบภัยได้ประมาณ 2 พันคน หมุนเวียนไปยังพื้นที่ต่างๆ--จบ--</span><br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-15015043268749464892011-12-30T19:11:00.000+07:002011-12-30T19:11:52.405+07:00ล้วนชาย ว่องวานิช คำตอบชีวิต...ผู้ชายเจ้าอารมณ์<span style="color: blue;">My Way: ล้วนชาย ว่องวานิช คำตอบชีวิต...ผู้ชายเจ้าอารมณ์</span><br />
<span style="color: blue;"><img alt="" height="200" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/11/10/images/news_img_418488_1.jpg" width="188" /></span> เรื่อง ...ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
<span style="color: magenta;">10 ปีมาแล้วที่ ล้วนชาย ว่องวานิช ทายาทรุ่นที่ 4 ห้างขายยาอังกฤษตรางู หันหลังให้กับชีวิตสุดโต่ง เริ่มต้นนับหนึ่งดูแลตัวเองควบคู่กับการบุกเบิกธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมจีรัง รีสอร์ทแอนด์สปา </span><br />
<a name='more'></a><br />
ชายหนุ่มที่เคยอารมณ์หุนหันพลันแล่น ใช้ชีวิตแบบรอวันระเบิด ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่..คลี่คลายความทุกข์จากโรคตับและหัวใจที่คุกคาม ในที่สุดจึงเรียนรู้ว่า ชีวิตจะดีได้ต้องจัดการ อารมณ์ ให้ได้ก่อน <br />
<span style="color: lime;">ถ้าอารมณ์ดี สภาพของจิตจะดีตาม ร่างกายก็จะดีตาม ด้านจิตวิญญาณก็พัฒนาต่อได้ อารมณ์และความเครียดเป็นตัวบั่นทอนให้ร่างกายและจิตใจทรุดโทรม ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานลดลง ตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อารมณ์ที่ไม่ดียังกระทบต่อปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทำให้ก้าวต่อไปสู่การพัฒนาจิตวิญญาณ เช่น การปฏิบัติสมาธิ ทำได้ยาก </span> ล้วนชายเป็นคนหนึ่งที่เคยต่อสู้มรสุมวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ปี 2540 ถึงแม้จะฝ่าฟันปัญหามาได้ แต่อีกด้านหนึ่งคือต้นทุนชีวิตที่ขาดทุนย่อยยับ จากความเครียด ความกดดันทางจิตใจ <br />
ความทุกข์ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเป็นเหมือนสึนามิทางอารมณ์ที่โถมเข้าใส่ รางวัลที่ผมได้รับจากการแก้วิกฤติธุรกิจสำเร็จ คือ ความเจ็บป่วยทางกาย เกิดเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ <br />
<span style="color: blue;"> วิกฤติความป่วยไข้ด้วยโรคภัยขณะวัยไม่ถึง 40 ทำให้พยายามหาทางออกชีวิต เริ่มจากปรับสมดุลวิถีการกิน-อยู่ให้เหมาะสมตามธาตุ ผสมผสานกับการทำสมาธิ ฝึกโยคะ ฝึกลมปราณบู๊ตึ๊ง หลายปีผ่านไปสุขภาพกายใจดีขึ้นเป็นลำดับ </span> ก่อนจะพบจุดเปลี่ยนอีกครั้งที่ทำให้สามารถดูแลตัวเองไปอีกขั้น คือ การล้างพิษทางอารมณ์ หรือ Emotion Detox เมื่อ 2 ปีก่อน <br />
สมัยหนุ่มผมเป็นคนอารมณ์ร้อนสุดๆ นิสัยอารมณ์ร้อนเป็นจริตที่ติดตัวแต่ไหนแต่ไร ผมเป็นคนธาตุไฟ เกิดวันเสาร์ ราศีสิงห์ ยิ่งเจอปัญหาชีวิต ก็ยิ่งเพิ่มความพลังมุ่งมั่น เพิ่มความดุดัน จนกระทั่งไฟเหล่านี้โหมทำลายชีวิตตัวเองจนพัง <br />
<span style="color: red;">ถึงแม้คุณพ่อจะปลูกฝังการฝึกสมาธิมาตั้งแต่อายุ 12 แต่เอาเข้าจริงเวลามีสถานการณ์กระทบใจก็มักจะหลุดทุกที เวลาทำสมาธิ อารมณ์จะดี สุกใส สงบ แต่พอลืมตากลับสู่ชีวิตประจำวัน มันหลุดทุกที หลุดทีไรก็จะระเบิดใส่คนรอบข้าง เป็นสิ่งที่ผมรำคาญใจมาหลายสิบปี ทำไมนิสัยแบบนี้ถึงแก้ไม่หาย </span> หารู้ไม่ว่าเพราะจิตใต้สำนึกของคนเราไม่ต่างจากส้วมอารมณ์ที่เก็บอารมณ์ขุ่นมัวมากมาย เมื่อไหร่ที่ส้วมเต็ม ถ้าเราเอาสเปรย์ไปฉีดดับกลิ่น เดี๋ยวเดียวมันก็เหม็นอีก แต่ถ้าเรารู้จักวิธีสูบออก อารมณ์เหล่านี้จะค่อยๆ บรรเทาลง <br />
ล้วนชาย เล่าว่า หลักของการดีท็อกซ์อารมณ์ คือ การสร้างให้เกิดพลังลมปราณ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า bioelectric energy หรืออินเดีย เรียกพลังปราณ จีนเรียกชี่ <br />
<span style="background-color: white; color: blue;">พลังลมปราณเป็นพลังธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในโลกนี้และในร่างกายคนเรา การสร้างพลังลมปราณที่มากขึ้นและลมปราณที่หมุนเร็วขึ้นแรงขึ้น นอกจากจะสามารถดีท็อกซ์อารมณ์ที่คั่งค้างในจิตใต้สำนึกออกไปแล้ว ยังช่วยดีท็อกซ์สิ่งที่เป็นพิษสะสมออกจากเซลล์ร่างกาย </span> ผมได้เรียนรู้แนวทางปฏิบัติจากคำแนะนำของพ่อครูบัญชา ตั้งชัยวงศ์ เมื่อ 2 ปีที่แล้วระหว่างที่บวชปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ จากอารมณ์ที่เคยเป็นเหมือนระเบิด เริ่มกลายเป็นแค่ประทัด จนกระทั่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นแค่กระเทียม ไม่ได้หลุดแล้วระเบิดแรงเหมือนแต่ก่อน <br />
<span style="background-color: lime;">ล่าสุด ล้วนชายยังสานต่อธุรกิจในอุดมคติไปอีกขั้น ต่อยอดจากรีสอร์ทและสปาเพื่อสุขภาพ จีรัง เฮลท์วิลเลจ สู่หมู่บ้านสุขภาพแบบองค์รวมในชื่อ จีรัง เรสซิเดนซ์ บนพื้นที่ 75 ไร่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พร้อมถอดประสบการณ์วิธีดูแลตัวเองด้วยการดีท็อกซ์อารมณ์ สู่ผลงานเขียนเล่มแรก </span> คุณพ่อผมรักเชียงใหม่มาก เดินทางขึ้นไปบ่อยๆ จนที่นั่นเป็นเหมือนบ้านที่สองของครอบครัวเรา ที่ดินที่ผืนนี้คุณพ่อซื้อไว้นานแล้วตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อน จนเมื่อผมป่วยจึงหันมาทำธุรกิจด้านสุขภาพเต็มตัว พัฒนาที่ดินตรงนี้ให้เป็นเฮลท์วิลเลจตามความตั้งใจของคุณพ่อ เริ่มจากรีสอร์ทเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งมิติกาย มิติอารมณ์ และมิติจิตวิญญาณ ถึงจุดๆ หนึ่งเริ่มมีคนสนใจว่าอยากมาพักอยู่ด้วยกันนานๆ เลยตัดสินใจขยายต่อเป็นหมู่บ้านสุขภาพ 50 หลังชวนคนที่อยากดูแลสุขภาพมาอยู่ด้วยกัน <br />
<span style="color: magenta;">คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุ 40 เมื่อประสบความสำเร็จในชีวิตถึงจุดจุดหนึ่ง สิ่งที่มาพร้อมกับฐานะเงินทองคือสภาวะความเครียดที่สูงมาก จนหลายคนมีปัญหาสุขภาพตามมา </span> ล้วนชายมองว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่มีพลังในสังคมที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กรขยายสู่ระดับสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกของการเริ่มต้นธุรกิจอุดมคติในแบบ White Ocean หรือธุรกิจน่านน้ำสีขาว เป็นทุนนิยมแบบมีจิตสำนึก ไม่ได้มุ่งเน้นแสวงกำไรสูงสุด แต่เน้นที่ประโยชน์สูงสุดทั้งต่อตนเอง สังคม โดยที่องค์กรธุรกิจยังดำเนินไปได้ <br />
การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม จำเป็นต้องมีทั้งสถานที่ การบริการและการดูแลที่มีคุณภาพ การจะทำอย่างนี้ได้ต้องใช้วิธีการแบบการทำธุรกิจเข้ามาจับ ผมเลยเริ่มต้นจากกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงระดับองค์กร เมื่อองค์กรเปลี่ยน สังคมจึงจะเปลี่ยนตาม ล้วนชายเล่าถึงเป้าหมายชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังการเจ็บป่วย <br />
<span style="color: blue;"> สมัยก่อนเป้าหมายอย่างเดียวของผม คือ ความสำเร็จเรื่องงาน ต้องมีบริษัทเยอะ ๆ แล้วก็มีกำไรเยอะ ๆ ยอดขายเยอะๆ แต่ปัจจุบันผมยึดถือเดินตามแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านเศรษฐกิจพอเพียง และการทำธุรกิจสไตล์น่านน้ำสีขาว ทำประโยชน์ให้กับตัวเราและทำประโยชน์ให้กับสังคมด้วย</span> <br />
ผ่านมา 10 ปี โมเดลธุรกิจในอุดมคติในเครือจีรังของล้วนชาย เดินมาไกลหลายก้าว ขยับขยายจากธุรกิจหลักรีสอร์ทสุขภาพแบบองค์รวม จีรังเฮลท์วิลเลจ ที่ อ.แม่ริม เชียงใหม่ และจีรังคลินิก และบิวตี้สปาที่กรุงเทพ รวมถึงโปรดักท์ด้านสปาซึ่งเน้นคอนเซปต์สปาธาตุ 4 ในอนาคตยังมีแผนขยายสู่การทำอะคาเดมีหรือสถาบันฝึกอบรมดูแลสุขภาพแบบองค์รวมควบคู่กับหมู่บ้านสุขภาพ <br />
<span style="color: magenta;">อีกด้านหนึ่งคือการขับเคลื่อนงานด้านสังคมผ่าน มูลนิธิรัศมีแห่งธรรม จัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ด้านการฝึกจิตและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้แก่ผู้สนใจโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเป็นประจำทุกเดือน โดยเน้นการเผยแพร่การปฏิบัติธรรมโดยแนะนำหลักสูตรที่เหมาะสมกับจริต 6 ของแต่ละบุคคลที่ต่างกัน เช่น บางคนมีจริตเป็นคนคิดมาก ต้องปฏิบัติไปในแนวทางที่ใช้ความคิดหรือการดูจิต เป็นต้น ส่วนคนที่มีความอัดอั้นทางอารมณ์อาจต้องเริ่มต้นฝึกล้างพิษอารมณ์เสียก่อน </span> ชีวิตในวันนี้ของล้วนชายยังคง Work Hard แต่ Work Smart ด้วย โดยจะไม่ใช้เวลาสิ้นเปลืองไปกับอารมณ์ ความคิด ความกังวล เมื่อกลับถึงบ้านก็ต้องปล่อยวาง วินัยที่เขานำมาใช้ในชีวิตประจำวัน คือ ตื่นเช้ามาอันดับแรกต้องดื่มน้ำประมาณ 1 ลิตรเพื่อช่วยกระตุ้นการขับถ่าย หลังจากนั้นจึงเริ่มกระบวนการสร้างพลังลมปราณแบบบู๊ตึ๊ง ตามมาด้วยการฝึกโยคะในท่าไหว้พระอาทิตย์ จากนั้นคือการทำดีท็อกซ์อารมณ์ที่คั่งค้างในจิตใต้สำนึกออกมา ส่วนการดูแลเรื่องอาหาร ยึดหลักการกินอาหารเช้าให้เหมือนพระราชา อาหารกลางวันแบบเจ้าชาย และอาหารเย็นแบบยาจก เน้นการรับประทานผักผลไม้ ขณะที่ดำเนินชีวิตตลอดวันโดยใช้สติเข้ามากำกับ ป้องกันอารมณ์ขุ่นหมองเข้ามาปั่นป่วนจิตใต้สำนึก <br />
<span style="color: red;"> ผ่านมาถึงวันนี้ ล้วนชาย บอกว่า คงไม่กล้าบอกว่าหายขาดจากอาการเจ็บป่วยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พูดได้ว่าอาการดีขึ้นมาก สามารถอยู่ร่วมกับโรคภัยได้อย่างแฮปปี้ไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน </span> <span style="background-color: lime;"> คำจุดพอดีหรือทางสายกลางของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นต้องหาความพอดีของตัวเองให้เจอว่าเราเป็นใคร เรามีปัญหาอะไร และอะไรที่ดีและเหมาะสำหรับเรา แล้วจึงผสมผสานสิ่งดีๆ เข้ามาสู่ชีวิตของเราในสัดส่วนที่เหมาะสม ทำแล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงไหม กายดีขึ้นไหม ใจเป็นอย่างไร อารมณ์เป็นอย่างไร สติปัญญาเกิดหรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ถูกต้องแล้วจึงค่อยๆ พัฒนาต่อไป ล้วนชายให้คำแนะนำ--จบ-</span>-<br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-49786560695186428112011-12-30T19:08:00.000+07:002011-12-30T19:08:29.676+07:00โชคดี...ที่ยังมีน้ำโชคดี...ที่ยังมีน้ำ<br />
<img alt="" height="200" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/11/01/images/news_img_416947_1.jpg" width="129" /><br />
เรื่อง ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
<span style="color: blue;">ในภาวะที่คนกรุงเทพฯหวั่นเกรงเรื่องน้ำประปาไม่สะอาด ผู้บริหารได้ออกมายืนยันถึงกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานตามหลักวิชาการ พร้อมให้ความมั่นใจว่า น้ำประปาไม่มีปัญหา </span><br />
<a name='more'></a><br />
<span style="color: magenta;"> สู้กับน้ำว่าหนักแล้ว ยังมีมรสุมข่าวที่ท่วมทะลัก การประปานครหลวง ตั้งแต่ปัญหาน้ำท่วมคลองประปา ,ชาวบ้านลุกฮือรื้อคันกั้นน้ำ, สีและกลิ่นของน้ำที่ผิดเพี้ยน เพราะคุณภาพน้ำดิบ,ประกาศลดกำลังผลิตจ่ายน้ำฝั่งธนฯเช้า-เย็น ฯลฯ </span> เรื่องไหนๆ ก็คงไม่สร้างความวิตกกังวลให้กับคนกรุงเท่าคำถามว่า น้ำท่วมครั้งนี้จะวิกฤติถึงขั้นขาดน้ำกินน้ำใช้ในเมืองหลวงหรือไม่? <br />
น้ำประปายังดื่มได้ <br />
ถึงแม้จะยืนยันหนักแน่นแค่ไหนว่า น้ำประปาดื่มได้ สอบผ่านมาตรฐานองค์การอนามัยโลก พร้อมเชิญทั้งกรมอนามัยและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาช่วยตรวจสอบย้ำความมั่นใจ <br />
<span style="color: lime;">แต่สีและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ของน้ำที่เปลี่ยนจากเดิมใสไร้สี กลายมาเป็นสีเหลือง อันเนื่องมาจากน้ำดิบคุณภาพต่ำที่ท่วมเข้ามาในคลองประปาฝั่งตะวันตก กระทบโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ใช้น้ำหลายคนในย่านฝั่งธนฯ ขาดความมั่นใจ </span> อย่าว่าแต่ดื่มเลย แค่จะเอามาใช้ชำระล้างร่างกาย บางคนยังหวั่นๆ <br />
คนเรามักเชื่อจากสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา เชื่อว่าความสะอาดจากน้ำอยู่ที่ความใส ทั้งๆ ที่น้ำใสๆ บางทีอาจจะมีสารพิษหรือเชื้อโรคปนอยู่ โดยที่เราไม่รู้ เพราะมองไม่เห็นจงกลนี อาศุเวทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายคุณภาพน้ำ การประปานครหลวง (กปน.) เปิดประเด็นชวนคิด <br />
<span style="color: #cc0000;"><span style="background-color: white;"> ความเคยชินของคนเมืองหลวงที่เคยใช้น้ำประปาใส ไร้สี เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลายคนยากจะทำใจยอมรับกับคุณภาพด้านกายภาพ (สี,กลิ่น,รส) ที่ด้อยลง แม้ว่าคุณภาพด้านความปลอดภัย ทั้งด้านเคมี ได้แก่ โลหะหนักปนเปื้อน และด้านชีวภาพ คือ เชื้อโรค จะอยู่ในมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภค จนกระทั่งการประปาต้องออกโรงแนะนำว่า หากต้องการเพิ่มความมั่นใจแนะนำให้ต้มก่อนบริโภค</span> </span> ผู้บริหารที่คร่ำหวอดด้านคุณภาพน้ำ ยืนยันว่า ถึงแม้การประปานครหลวงจะต้องเผชิญกับปัญหาคุณภาพน้ำดิบด้อยลง เนื่องจากน้ำที่ไหลหลากท่วมทะลักคลองประปาในบางพื้นที่ แต่ คุณภาพของน้ำดิบขณะนี้ยังไม่น่าวิตก ยืนยันว่ายังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินประเภท 3 ที่นำมาใช้ผลิตน้ำประปาได้อย่างปลอดภัย <br />
<span style="color: blue;">เพียงแค่กลิ่นและสีของน้ำดิบที่เกิดขึ้นจากภาวะน้ำท่วม รวมทั้งปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำลดลง ทำให้การประปาต้องเพิ่มขั้นตอนพิเศษ เช่น เติมอากาศ ผงถ่านกัมมันต์ และด่างทับทิม เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำและดูดซับสี กลิ่น ให้มีปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำมากขึ้น โดยกลิ่นและสีเหล่านี้เกิดจากน้ำที่ท่วมหลากทับถมต้นไม้ใบหญ้าที่เน่าเปื่อยเป็นส่วนใหญ่</span> <br />
ขณะที่ความปฏิกูลของการขับถ่ายจากบ้านเรือนยังถือว่า เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำ <br />
คนสมัยโบราณจะใช้วิธีทำความสะอาดน้ำโดยใช้สารส้มแกว่งให้รวมตัวกับตะกอน จนน้ำใสแล้วเอาไปต้ม นำมาดื่มเพราะความร้อนช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ แต่การผลิตน้ำประปาจำนวนมากถึงวันละ 5 ล้านคิว การฆ่าเชื้อโรคในน้ำปริมาณมากขนาดนี้ ต้องใช้คลอรีน เพราะมีคุณสมบัติคงอยู่ในน้ำได้ <br />
<span style="color: lime;">ระบบประปาทั่วโลก ไม่ว่าจะฆ่าเชื้อด้วยโอโซน หรือยูวี จะต้องใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อเสมอ แต่ถ้าเป็นระบบน้ำแบบอื่น เช่น น้ำบรรจุขวด จะมีขวดช่วยป้องกันการปนเปื้อน ดังนั้น กลิ่นคลอรีนจึงหมายถึงความปลอดภัย ถ้ายังมีคลอรีนอยู่แสดงว่า เชื้อโรคตายหมด แต่ถ้าไม่มีแสดงว่าอาจจะยังทำปฏิกิริยาฆ่าเชื้อไม่หมด</span> <br />
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ในช่วงนี้น้ำดิบคุณภาพลดลงในบางพื้นที่ โดยเฉพาะต้นทางสถานีจ่ายน้ำ จึงอาจได้กลิ่นคลอรีนมากกว่าเดิม เพื่อความมั่นใจในการฆ่าเชื้อโรค โดยปริมาณการใช้ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่หากผู้ใช้น้ำไม่ชอบกลิ่น สามารถรองน้ำตั้งทิ้งไว้ในภาชนะที่มีฝาเปิดสัก 1 ชั่วโมง กลิ่นจะระเหยไปเอง <br />
ส่วนเรื่องสารปนเปื้อนที่หลายคนเป็นห่วง ในช่วงที่น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง ก่อนหน้านี้ กรมควบคุมมลพิษได้สั่งการให้ย้ายสารเคมีออกไป หรือยกไว้ในที่สูง น้ำท่วมไม่ถึงตั้งแต่แรก จากการเก็บตัวอย่างน้ำ ผลวิเคราะห์โลหะหนักยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำสำหรับใช้ผลิตน้ำประปาได้ เราถึงยืนยันได้ว่าน้ำประปายังปลอดภัยอยู่ในเกณฑ์องค์การอนามัยโลก <br />
<span style="color: blue;">การตรวจสอบคุณภาพจะมีทั้งด้านกายภาพ สี กลิ่น รส ส่วนด้านเคมี เช่น เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม และกลุ่มโลหะหนัก ปรอท แคดเมียม สังกะสี ทองแดง ส่วนด้านแบคทีเรีย เชื้ออี.โคไล พวกนี้เราตรวจทุกวันยังอยู่ในเกณฑ์ ผู้บริหารคนเดิมยืนยัน </span> ส่วนกรณีที่โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ต้องประกาศลดกำลังการผลิตลงครึ่งหนึ่ง จ่ายน้ำแค่ช่วงเช้า-เย็น ก่อนหน้านี้ เกิดจากปัญหาน้ำดิบที่คุณภาพลดลงในภาวะน้ำท่วม มีปริมาณสาหร่ายจำนวนมากเข้าไปอุดตันบ่อกรอง จนต้องล้างทำความสะอาดถี่ขึ้น ทำให้ต้องลดการผลิตน้ำประปาลงชั่วคราว ซึ่งขณะนี้ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว <br />
ความมั่นคงน้ำกิน-น้ำใช้ <br />
ปัจจุบัน โรงงานผลิตน้ำบางเขน และโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ จัดเป็นหัวใจหลักในการผลิตน้ำของการประปานครหลวง ผลิตน้ำรวมกัน 4 ล้านลูกบาศก์ลิตรต่อวัน ป้อนสู่พื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยโรงงานผลิตน้ำบางเขนตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ถนนประชาชื่น <br />
<span style="color: magenta;">โรงผลิตน้ำที่นี่จะใช้น้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานีสูบน้ำดิบสำแล ต.บ้านกระแชง อ.เมือง จ.ปทุมธานี โดยสูบน้ำส่งผ่านคลองประปามาถึงโรงงานผลิตน้ำบางเขนระยะทาง 18 ก.ม. และส่งต่อไปตามคลองประปาเลียบถนนประชาชื่น จนถึงโรงงานผลิตน้ำสามเสน ระยะทางรวม 30 ก.ม</span>. <br />
ขณะที่โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ บริเวณถนนกาญจนาภิเษก(ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี)ใช้น้ำดิบจากเขื่อนแม่กลอง กาญจนบุรี เข้าคลองประปาฝั่งตะวันตกระยะทาง 106 กิโลเมตร ทำหน้าที่ผลิตน้ำประปาให้บริการในเขตพื้นที่ นนทบุรี ได้แก่ อ.เมืองนนทบุรี และปากเกร็ดฝั่งตะวันตก บางบัวทอง บางใหญ่ ไทรน้อย และบางกรวย ,พื้นที่สมุทรปราการ ได้แก่ อ.พระประแดงและพระสมุทรเจดีย์ฝั่งตะวันตก และพื้นที่พื้นที่ฝั่งธนบุรี ได้แก่ เขตธนบุรี คลองสาน บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ทวีวัฒนา บางพลัด หนองแขม ภาษีเจริญ ตากสิน บางบอน ทุ่งครุ จอมทอง ราษฎร์บูรณะ บางขุนเทียน และตลิ่งชัน ประเด็นที่หลายคนเป็นห่วงในสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ คือ โรงงานผลิตน้ำทั้งสองแห่งจะผลิตน้ำได้ปลอดภัยแค่ไหน ? <br />
<span style="background-color: lime;"> </span><span style="background-color: lime; color: yellow;">ถึงแม้ผู้บริหารการประปานครหลวงจะมั่นใจว่า สามารถดูแลจัดการปัญหาคุณภาพน้ำดิบ เพื่อนำมาผลิตน้ำประปาได้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ยังมีปัญหาสถานการณ์น้ำล้นบริเวณคลองประปายังคงต้องเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหา เช่น บริเวณช่วงวัดนาวง เขตหลักหก ปทุมธานี นอกจากนี้ ยังมีบางจุดที่มีน้ำล้นเข้าคลองประปาซึ่งได้มีการเสริมตลอดแนวคันคลอง </span> ขณะที่ประเด็นน่าเป็นห่วง คือ จิตสำนึกร่วมกันในการช่วยกันรักษาคุณภาพน้ำในคลองประปา ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ล่าสุดที่ชาวบ้านย่านวัดนาวง เขตหลักหก ปทุมธานี เข้าไปรื้อคันกันน้ำเพื่อระบายน้ำที่ท่วมในพื้นที่ลงคลองประปา <br />
<span style="color: blue;">ประเด็นที่สำคัญคือ การมีสำนึกช่วยกันรักษาแหล่งน้ำดิบ อยากให้ผู้ที่อยู่ริมคลองปะปาหรือผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยรักษาคุณภาพน้ำในคลองประปาไม่สูบน้ำเสีย หรือผันน้ำเข้ามาในคลองประปา ในประเทศที่มีความศิวิไลซ์จะให้ความสำคัญของแหล่งน้ำเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ต้องใช้ร่วมกัน จะต้องไม่ผันน้ำเข้ามา เพราะฉะนั้นประชาชนในหมู่บ้านใหญ่ๆ ริมคลองประปา ต้องเห็นความสำคัญของแหล่งน้ำดิบ </span> เสียงวอนขอความร่วมมือจากสองผู้บริหาร วิกรม สุวรรณชมภู ผู้ช่วยผู้ว่าการประปานครหลวง (กปน.) และ รักษา กมลเวชช์ ที่ปรึกษากปน.ระดับ 9 ซึ่งร่วมกันให้ข้อมูลยืนยันถึงการดูแลความมั่นคงของการประปาในภาวะวิกฤติน้ำท่วม เพื่อไม่กระทบกับประชาชนผู้ใช้น้ำกว่า 10 ล้านคน <br />
มาตรการประกอบด้วย 3 ส่วน ป้องกันคลองประปา ป้องกันพื้นที่ของโรงงานผลิตน้ำ ซึ่งได้วางแนวป้องกันโรงงานผลิตน้ำบางเขนไว้หนาแน่น 3 ชั้นที่ระดับ 4 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และความมั่นคงของระบบผลิตว่า จะสามารถเดินเครื่องผลิตและสูบจ่ายน้ำได้อย่างไม่ขาดแคลน <br />
<span style="color: magenta;">ในส่วนพื้นที่โรงงานผลิตน้ำ เราได้สร้างแนวป้องกันไว้ถึง 3 ชั้น เพื่อความมั่นใจว่าระบบการผลิตจะยั่งยืน รองรับได้กับวิกฤติน้ำ ซึ่งสถานการณ์น้ำที่คาดไว้คือ น่าจะสูงเข้ามาในพื้นที่ไม่เกิน 1 เมตร แต่ถึงแม้จะเกินมาตรฐาน เรายังมีมาตรการอื่นๆ รองรับ เช่น การเตรียมรถบรรทุกพร้อมเครื่องจักรกลหนัก เพื่อเสริมคันดินไว้ตลอดเวลา นอกจากนั้นในระบบการป้องกัน ยังมีระบบการระบายน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางพื้นที่ คอยช่วยสูบน้ำออกตลอดเวลา <br />
นอก</span>จากนี้ กปน. ยังมีระบบป้องกันความเสี่ยงการใช้กระแสไฟฟ้าในโรงงานผลิตน้ำบางเขน โดยรับกระแสไฟฟ้าจาก 2 แหล่ง กรณีแหล่งใดมีปัญหา ก็สามารถใช้อีกแหล่งทดแทนได้ทันที จึงมั่นใจว่าจะมีกระแสไฟฟ้ารองรับการผลิตจ่ายน้ำประปาได้อย่างต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนสบายใจได้ <br />
ด้านการควบคุมคุณภาพน้ำ ได้มีการสำรองสารเคมีที่ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำ เช่น สารส้ม คลอรีน ถ่านกัมมันต์ รองรับไว้ 20-30 วัน ส่วนการสูบจ่ายน้ำก็มีความสำคัญ ในพื้นที่ต่างๆที่มีสถานีสูบน้ำ เราได้ทำแนวกันสำรองไว้และมีเจ้าหน้าที่ดูแล 24 ชั่วโมง มั่นใจว่าจะทำการสูบจ่ายน้ำได้ตามปกติ <br />
อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาทในสถานการณ์วิกฤติน้ำท่วม จึงแนะนำให้เตรียมพร้อมสำรองน้ำดื่มน้ำใช้ไว้ทุกบ้าน โดยเฉพาะผู้ใช้น้ำในอาคารสูง <br />
<span style="background-color: white; color: red;">วิกรม ผู้ช่วยผู้ว่าการประปานครหลวง มองว่า วิกฤติน้ำที่เผชิญครั้งนี้เป็นภาวะที่การประปายังไม่เคยประสบมาก่อน นับตั้งแต่ 97 ปีที่กิจการประปาเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในสมัยนั้นน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯในปี 2485 ขณะนั้นปริมาณการใช้และจำนวนผู้ใช้น้ำยังไม่มากขนาดนี้ รวมถึงมีการพึ่งพาแหล่งน้ำคูคลองธรรมชาติจำนวนมาก </span> แม้ว่าโรงงานผลิตน้ำประปาจะมีการออกแบบเผื่อไว้ในเรื่องนี้แล้ว แต่สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย เพราะปริมาณน้ำท่วมที่ไหลบ่าเป็นมวลน้ำมหาศาล เทียบเท่ากับเขื่อนภูมิพลทั้งเขื่อน และได้พยายามควบคุมสถานการณ์เต็มที่สุดความสามารถ <br />
คำตอบเดียวเท่านั้นสำหรับการประปานครหลวงในเวลานี้ นั่นคือ โรงผลิตน้ำประปาของเมืองหลวงจะล่มไม่ได้! <br />
............................................. <br />
<span style="color: blue;"> ไฟฟ้ายังไหวอยู่ </span> ขอย้ำตัวโตๆ นะครับ เหตุผลเดียวที่เราจะตัดไฟ คือ เพื่อความปลอดภัยเท่านั้น จะไม่มีการตัดไฟจากกรณีไฟไม่พอ ซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การไฟฟ้านครหลวง อาทร สินสวัสดิ์ผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ยืนยันอย่างหนักแน่น <br />
<span style="background-color: white; color: lime;"> ในภาวะที่น้ำท่วมหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ กำลังพลเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตัดไฟฟ้าของกฟน.ต้องทำงานหนักชนิดอดตาหลับขับตานอน เฝ้าระวังและดูแลเข้าไปตัดไฟในพื้นที่ที่น้ำท่วมสูงในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ ถ้าเป็นกรณีน้ำท่วมสูงเกินกว่า 1 เมตรเศษๆ ใกล้จะถึงระดับหม้อมิเตอร์บนเสาไฟฟ้า ผู้ว่าฯบอกว่า จะทำการตัดไฟทุกกรณี เพื่อความปลอดภัย <br />
<span style="color: black;">อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่น้ำท่วมต่ำกว่า 1</span></span> เมตรใช่ว่าเราจะไม่ตัดไฟ แต่จะเข้าไปพิจารณาดูว่า มันจะเสี่ยง เกิดอันตรายกับชีวิตประชาชนหรือไม่ โดยเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้านก่อน เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นคือในหลายพื้นที่ประชาชนไม่ยอมให้ตัดไฟ เพราะต้องการใช้ไฟเพื่อสูบน้ำและในชีวิตประจำวัน ทั้งที่อาจจะมีโอกาสเสี่ยงภัยได้ <br />
สำหรับมาตรการการป้องกันสถานีย่อยของกฟน.ทั้ง 150 สถานีจากน้ำท่วม ได้มีการสร้างแนวป้องกันทุกสถานีไว้แล้วอย่างแข็งแรงตั้งแต่ระดับความสูง 1-3 เมตร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไฟดับ โดยไม่จำเป็น เพราะตระหนักดีกว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ ไฟฟ้าที่จะจ่ายให้กับเครื่องสูบน้ำของกทม. ซึ่งจะต้องดันน้ำหรือสูบน้ำจากกทม.ออกไปสู่ทะเลให้เร็วที่สุด <br />
<span style="color: magenta;">เพราะฉะนั้นเครื่องปั๊มน้ำของกทม. 477 แห่งในพื้นที่การไฟฟ้านครหลวง เราต้องเฝ้าระวังไม่ให้พื้นที่เหล่านั้นไฟดับเด็ดขาด ตรงนี้เราไม่ยอม เช่นเดียวกับการประปา ซึ่งเราจะมีไฟสำรองให้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนกรณีแผนสำรองฉุกเฉินหากน้ำทะลักเข้าสถานีจนสถานีใดสถานีหนึ่งไฟดับ เราสามารถมีสถานีข้างเคียงช่วยจ่ายไฟทดแทนได้ทันที ดังนั้นขอให้ประชาชนมั่นใจเว่าเรามีไฟฟ้าเพียงพอกับการใช้งานแน่ๆ ตราบใดที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตยังจ่ายไฟให้เรา ซึ่งตอนนี้ทางฝ่ายผลิตเองก็เฟิร์มมาก มั่นใจว่าไม่มีปัญหา </span> ผู้ว่ากฟน.ประเมินสถานการณ์จากนี้ว่า อย่างน้อยน้ำน่าจะท่วมกรุงเทพฯไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับคนกรุงเทพฯที่ตัดสินใจปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมสูง คงต้องทำใจยอมรับว่ากฟน.จำเป็นต้องตัดไฟเพื่อความปลอดภัย ต้องเตรียมพร้อมทั้งเรื่องแสงสว่างรวมถึงก๊าซหุงต้ม ซึ่งความเป็นอยู่อาจจะลำบากเหมือนติดเกาะ แนะนำว่าควรออกจากบ้านเพื่อความปลอดภัย <br />
<span style="background-color: white; color: blue;"> ขณะที่คนที่อยู่คอนโดฯสูงๆ ใช่ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เพราะคอนโดฯหลายแห่ง มักจะเอาเครื่องอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้าไว้ชั้นล่าง ดังนั้นเมื่อไหร่ที่น้ำท่วมชั้นล่าง คอนโดฯนั้นก็จะไม่มีไฟฟ้าใช้ </span> คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับเจ้าบ้านที่น้ำเริ่มท่วม ก็คือ หากสังเกตว่าระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นจนเกือบจะถึงระดับปลั๊กในบ้าน ให้รีบดึงปลั๊กและยกเครื่องใช้ไฟฟ้าให้อยู่สูงพ้นน้ำ และหากจะอพยพออกจากบ้าน ต้องมีสติดึงสะพานไฟหรือคัทเอาทต์ลงทุกครั้ง--จบ--<br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-88119047968253660282011-12-30T19:02:00.000+07:002011-12-30T19:02:09.710+07:00เรียนรู้..ตั้งสติ ฝ่าวิกฤติน้ำเรียนรู้..ตั้งสติ ฝ่าวิกฤติน้ำ<br />
เรื่อง ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
ภาพ กิตตินันท์ รอดสุพรรณ <br />
<span style="color: blue;"> วิ่ง ตามน้ำ และ หนีน้ำ กันมาพอหรือยัง?</span> <span style="color: red;">ในห้วงที่กรุงเทพฯกำลังโกลาหลกับภัยน้ำ</span> <span style="color: lime;">นักวิชาการจุฬาฯ ด้านวิทยาศาสตร์ สื่อสารมวลชน และสังคมศาสตร์ ชวนตั้งหลักระดมปัญญา </span><span style="color: #cc0000;">เปิดเสวนาโต๊ะกลมที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งคำถามชวนคิดถึงมุมอื่นๆ ที่สังคมต้องตั้งสติ เรียนรู้และปรับตัวร่วมกัน </span><br />
<a name='more'></a><br />
<span style="color: cyan;">ศาสตราจารย์สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์สันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่าในสถานการณ์ที่อะไรก็ดูจะฉุกเฉินและคับขัน ชวนให้สติแตกกันได้ง่ายถ้าไม่ตั้งหลักกันให้ทัน การตั้งหลักมีหลายระดับ ผู้ประสบภัยก็ต้องตั้งหลัก ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ต้องตั้งหลัก แต่ควรตั้งหลักได้ดีกว่านี้หรือไม่ ความรู้ที่มีมากมายได้ระดมเข้ามาจัดการวิกฤติขนาดไหน </span> เมื่อกลไกที่ควรจะเป็นที่พึ่งในแต่ละระดับพึ่งไม่ได้ ในสถานการณ์คับขันทุกคนจึงต้องพึ่งพาตัวเอง ขณะที่ความขัดแย้งในสังคมกลับขยายตัวขึ้น บางอย่างที่ไม่ควรเกิดก็เกิดเพราะขาดการจัดการ แม้กระทั่งการแย่งของไปแจกในพรรคการเมืองเดียวกัน <br />
<span style="color: blue;">นอกจากประเด็น ความขัดแย้ง ยังมี ความเสี่ยงภัย อันเนื่องมาจากผู้มีตำแหน่งความรับผิดชอบ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน ควรจะดูแลกันอย่างไร จะฝากฝังใครดูแลดี เพราะจะหวังแต่พึ่งการเมืองคงไม่ได้</span> <br />
การแถลงข่าวในบางครั้งที่แย่งกันเอาหน้าทางการเมือง สุดท้ายสังคมเสี่ยงภัยเพราะไม่รู้จะเชื่อใครดี ...หรือแม้แต่ความเสี่ยงอันเนื่องมาจากกระบวนการนโยบาย เช่น การที่เราไม่มีแผนที่พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมเลย ถึงได้มีการตั้งนิคมฯในพื้นที่ที่เคยน้ำท่วมซึ่งมีแผนที่ประเทศไทยยืนยันมาตั้งแต่สมัยลาลูแบร์.. <br />
<span style="color: magenta;"> อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งของสถานการณ์ช่วยเปิดให้เห็นศักยภาพการเรียนรู้ของผู้คนหลายภาคส่วนที่เข้ามาทำงานอาสา แม้ว่าระบบใหญ่จะไม่เอื้ออำนวย ไม่ว่าจะเป็นบรรดาอาสาสมัคร องค์กรพัฒนาเอกชน ตลอดจนการเข้ามาช่วยบริหารศูนย์พักพิงของมหาวิทยาลัยต่างๆ </span> เราได้เห็นความพยายามในจัดกระบวนการพึ่งพาตัวเอง เช่น การใช้สื่อใหม่แทนการพึ่งสื่อหลัก ยังมีหลายจังหวัดที่น้ำท่วมมาหลายเดือนแล้ว ยิ่งรู้สึกถูกทอดทิ้ง ผมคิดว่าสื่อบ้านเราก็ยังเป๋ไปเป๋มา ไม่ได้เป็นสื่อสาธารณะของประเทศ ดังนั้น ควรมีดุลยภาพระหว่างปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาการเตรียมการ ปัญหาการเฝ้าระวัง การฟื้นฟู <br />
<span style="color: #3d85c6;"> อาจารย์สุริชัย มองด้วยว่า มหาวิทยาลัยเองก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งที่ผ่านมาเรายังอาจยังตั้งหลักไม่ดีเท่าที่ควร แต่ไม่สายเกินไปที่จะตั้งสติร่วมกัน ขณะนี้น้ำมาแล้วเราจะตั้งหลักร่วมกันยังไง จะประสานความรู้เพื่อลดความเสียหายร่วมกันอย่างไร </span> ขณะที่นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน อาจารย์สุภาพร โพธิ์แก้ว อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชวนคิดจากคำถามที่เริ่มได้ยินจากภาคประชาชนว่า น้ำท่วมกรุงเทพฯ เป็นข่าวระดับโลก ระดับประเทศ หรือเป็นข่าวของชุมชนกรุงเทพฯกันแน่ วันนี้เริ่มมีคนพูดว่ากรุงเทพฯควรต้องมีสื่อท้องถิ่นด้วย จะได้ไม่ไปแย่งพื้นที่ระดับประเทศที่ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ควรผลักดัน <br />
<span style="color: lime;">ถ้าดูตามทีวี จะพบว่ามักเป็นการรายงานแบบเดินตามน้ำ ...แต่หากลองมองรอบด้านทั้งย้อนกลับไปพื้นที่ที่น้ำมาแล้ว และพื้นที่ที่น้ำยังไปไม่ถึง เราอาจเห็นภูมิพลังปัญญาที่มากขึ้น </span> นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน มองว่าแม้ภัยครั้งนี้จะมากับมวลน้ำ และมีการพยายามผลักดันให้วิกฤติครั้งนี้เป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ โดยการอธิบายว่ามวลน้ำมหาศาล แต่สิ่งที่ประชาชนควรรู้ ก็คือ มวลน้ำเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่สภาพที่กลายมาเป็นภัยพิบัติมหาศาลมาจากจุดบกพร่องของมนุษย์ทุกระดับ แต่ระดับที่ต้องรับผิดชอบสูงสุด คือ ระดับที่มีทั้งอำนาจและศักยภาพที่ต้องบริหาร <br />
<span style="color: magenta;">ครั้งนี้เป็นภัยธรรมชาติที่ไม่ได้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ในระยะยาวอย่างเดียว แต่เป็นภัยจากความบกพร่องของน้ำมือมนุษย์ในปัจจุบันด้วย สิ่งที่สื่อควรต้องอธิบายคือสถานการณ์บานปลายเพราะอะไร วิธีคิดในการรับภัยพิบัติเป็นอย่างไรและทำไมโหมดวิธีคิดถึงไม่เปลี่ยนให้ทัน ในเชิงการบริหารจำเป็นต้องหมุนให้ทัน การบริหารชุดความรู้ที่มีอยู่ในสังคม การระดมสรรพกำลังและปัญญา คำว่าบูรณาการของบ้านเราเหมือนใช้กันลอยๆ </span> อย่างไรก็ตาม หากมองในด้านบวกที่เกิดขึ้น มวลน้ำครั้งนี้ช่วยสั่นสะเทือนคำถามกับวิธีคิดของผู้คนในสังคม สะท้อนผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค เครือข่ายจิตอาสา การนำเสนอข่าวของสื่อ ที่เริ่มมีแนวโน้มการตั้งคำถามมากขึ้นว่าถึงเวลาหรือยังที่เราต้องเรียนรู้วิถีน้ำ และปรับตัววิถีคนให้สอดคล้อง สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นใหญ่ที่ทั้งสังคม โดยเฉพาะภาคการสื่อสารต้องช่วยกันขับเคลื่อน ถอดบทเรียนสู่สังคม <br />
<span style="background-color: white; color: #cc0000;">วิกฤติครั้งนี้ เราได้เห็นความพยายามปรับตัว สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เยอะมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่พยายามนำความสามารถที่มีอยู่ไปใช้เป็นประโยชน์ บางคนเรียนออกแบบแฟชั่นดีไซน์ก็ออกไอเดียเย็บขวดเป็นชูชีพ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จะทำอย่างไรเพื่อขับเคลื่อนพลังที่กระจัดกระจายเหล่านี้ให้พัฒนาต่อไป และให้สังคมได้เรียนรู้เพื่อก้าวข้ามไปอีกขั้น--จบ--</span><br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-43841054533336401472011-12-28T19:15:00.001+07:002011-12-28T19:18:36.682+07:00สนธิกำลัง..เคลื่อนภารกิจ‘น้ำใจ’สนธิกำลัง..เคลื่อนภารกิจ‘น้ำใจ’<br />
เรื่อง ... ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง<br />
<br />
<span style="color: #cc0000;">สิ่งดีๆ ที่มากับน้ำท่วม คือ การสนธิสรรพกำลัง ความสามารถและทรัพยากรจาก หลากหลายภาคส่วนเพื่อเป้าหมายเดียวกันคือช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย</span><br />
ไม่เว้นกระทั่งความร่วมมือระหว่างผู้นำกองทัพกับผู้นำศูนย์การค้า และภาคเอกชนที่สร้างอีกหนึ่งปรากฏการณ์ใหม่ ผ่านโครงการ ONE HEART- รวมใจ ไทยช่วยกัน<br />
<a name='more'></a><br />
โดยมีอาคารเฉลิมพระเกียรติ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ กองทัพอากาศ ดอนเมือง กลายเป็นอีกหนึ่งฐานที่มั่นของการระดมกำลัง ทำงานร่วมกันระหว่างกำลังพล แม่บ้านกองทัพอากาศ พนักงานเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป และอาสาภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการแพ็คถุงยังชีพ ทำเสื้อชูชีพจากขวดน้ำดื่มใช้บริจาคที่ได้รับบริจาคจากลูกค้า นอกจากนี้ยังมีโรงครัวเพื่อจัดเตรียมอาหารสำหรับผู้ประสบภัย เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในพื้นที่อุทกภัย ซึ่งคาดว่าสถานการณ์อาจจะยืดเยื้อไปจนถึงสิ้นปี โดย พลอากาศเอกอิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ พร้อมหลังบ้าน นภาพร ศุภวงศ์ มาร่วมเป็นประธานเปิดโครงการร่วมกับผู้บริหารเดอะมอลล์ เมื่อวันก่อน <br />
<span style="background-color: cyan;"> “หลังจากสถานการณ์เริ่มรุนแรง นิคมฯ แตก น้ำทะลักท่วมสามพันกว่าโรงงาน คนตกงานเป็นแสน เราเริ่มไม่สบายใจแล้วว่าวิกฤติครั้งนี้ไม่ใช่ปัญหาของคนใดคนหนึ่งแต่เป็นปัญหาประเทศชาติ ไม่ใช่แค่ภาคเกษตร อุตสาหกรรม การส่งออก ยังกระทบไปถึงการท่องเที่ยว การลงทุน แต่จะมัวนั่งเศร้านั่งเครียดทำไม ทำไมเราไม่ออกมาช่วยกัน</span>” ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เล่าถึงแรงฮึดทำให้ 3 แม่ทัพหญิงเดอะมอลล์ แอ๊ว-ศุภลักษณ์ อัมพุช, แดง-ลักขณา นะวิโรจน์ และติ๋ม-ศิริลักษณ์ ไม้ไทย เป็นตัวตั้งตัวตีกระโดดมาทำโครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว นำความพร้อมและความสามารถของภาคเอกชนเข้ามาบริหารจัดการความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ผนึกกับกำลังความพร้อมของกองทัพอากาศ ที่มีทั้งสถานที่ กำลังพล ยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะทั้งทางบกและทางอากาศ ทำหน้าที่ลำเลียงส่งต่อความช่วยเหลือถึงผู้ประสบภัยต่อไป <br />
<span style="color: #3d85c6;"> ผู้บริหารเดอะมอลล์ เล่าว่า ก่อนหน้านี้แม้จะเคยร่วมบริจาคเงินสมทบทุนกับทางรัฐบาลไปแล้ว แต่วิกฤติที่ทวีความรุนแรง ทำให้เวลานี้บทบาทการเป็นผู้บริจาคอย่างเดียวคงไม่พอ ในเมื่อมีความพร้อมทุกๆ ด้านและเครือข่ายมากมายในธุรกิจที่ทำอยู่ ลงเงินอย่างเดียวคงไม่พอแล้ว ถึงเวลาต้อง “ลงแรง” ด้วย</span> เพื่อจัดการส่งตรงความช่วยเหลือได้อย่างตอบโจทย์และเข้าถึงผู้ประสบภัยจริงๆ สบายใจได้ว่าของบริจาคจะไม่กองพะเนินโดยไม่มีการจัดการ โดยกลุ่มเดอะมอลล์ควักงบประมาณเอง 30 ล้านบาท ร่วมกับแรงสนับสนุนจากเครือข่ายภาคเอกชนมากกว่า 10 องค์กรทำให้ได้งบประมาณร่วม 50 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงเทพ โดย ชาติศิริ โสภณพนิชเดินทางมามอบด้วยตัวเองในวันเปิดโครงการ เช่นเดียวกับ เครือสหพัฒน์ โดยบุญเกียรติ โชควัฒนา, ไทยน้ำทิพย์ โดย พรวุฒิ สารสิน, เบทาโกร โดย วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ เป็นต้น<br />
<span style="color: red;"> “การตั้งศูนย์คราวนี้ถือเป็นการที่ภาคเอกชนเรารวบรวมพันธมิตร และซัพพลายเออร์คู่ค้าต่างๆ เข้ามาช่วยกัน โดยเราจัดทีมงานเข้ามาทำงานรับผิดชอบในแต่ละสายโดยตรง เช่น ด้านจัดซื้อ ด้านรถ ด้านธุรการ ล่าสุด ทีมงานของเราที่ทำด้านซีเอสอาร์อยู่แล้วก็โยกมาทำด้านนี้เลยเต็มตัว นอกจากนี้ยังมีฝ่ายบุคคล ฝ่ายการตลาดที่เข้ามาช่วยกัน รวมทั้งแบ่งกำลังคนสลับหมุนเวียนเข้ามาช่วยกันที่นี่ เพื่อส่งอาหารและถุงยังชีพออกไปช่วยเหลือวันประมาณ 1 พัน”</span> หากเข้าไปในห้องรับรองของศูนย์ที่นี่จะเห็นการขึ้นกระดานรายชื่อผู้มีหน้าที่รับผิดชอบแบ่งงานระหว่างภาคเอกชนกับทหาร,บอร์ดรายงานบันทึกการบริจาคราย 10 วัน,ผังการผลิตถุงยังชีพในแต่ละวัน ข้อมูลความต้องการถุงยังชีพล่าสุด <br />
“ถ้าเราสามารถวิเคราะห์สถานการณ์แล้วปรับการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์จะทำให้สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายจึงค่อนข้างสำคัญ” ลักขณา นะวิโรจน์ หรือ “คุณแดง” เจ้าแม่ "กูร์เมต์ มาร์เก็ต"และ “โฮม เฟรช มาร์ท” สะใภ้กองทัพอากาศที่รับบทบาทหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ ประธานอำนวยศูนย์ฯ เล่าถึงการทำงาน โดยแต่ละวันจะมีการประเมินผลและวางแผนร่วมกับกองทัพอากาศ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น วันที่นิคมนวนครแตก น้ำทะลัก ก็ต้องปรับแผนใหม่ หันมาเร่งผลิตอาหารสดแทนการบรรจุถุงยังชีพ โดยในส่วนของโรงครัวลงทุนยกทีมจากโฮมเฟรชมาร์ทมาประจำการที่นี่ชั่วคราว ร่วมกับแม่บ้านทหารอากาศ ผลิตข้าวกล่องวันพันชุด เน้นอาหารที่ไม่บูดเสียง่าย และใช้ระบบแพ็คแบบสุญญากาศ กันน้ำเข้า <br />
<span style="background-color: white;"> <span style="color: blue;">นอกเหนือจากเรื่องอาหาร ครัวเคลื่อนที่ เสื้อชูชีพ และเรือแล้ว ยังให้ความช่วยเหลือครอบคลุมทั้งห้องสุขาลอยน้ำของกองทัพอากาศ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิตที่เดอะมอลล์ทุกสาขา รวมทั้งในเร็วๆ นี้เตรียมเปิดห้องเอ็มซีซีฮอลล์ เดอะมอลล์ บางกะปิ,บางแคและงามวงศ์วาน เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาช่วยกันอาสาทำถุงยังชีพให้ทันกับความต้องการ ขณะที่เงินบริจาคน่าจะเป็นการช่วยเหลือที่สะดวกในการจัดการที่สุดในเวลานี้ เพราะส่วนหนึ่งจะได้นำไปช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำลดซึ่งจะปรับเปลี่ยนภารกิจหันไปเน้นการบูรณะโรงเรียนและโรงพยาบาลต่างๆ </span> ขณะ</span>ที่บอสใหญ่เดอะมอลล์ ศุภลักษณ์ อัมพุช ฝากแจ้งว่าตอนนี้เดอะมอลล์ทุกสาขายังมีความต้องการรับสมัครพนักงานใหม่อีก 600 อัตรา ใครที่ตกงานอยู่สามารถมายื่นใบสมัครได้<br />
“ภารกิจตั้งศูนย์ความช่วยเหลือที่นี่คาดว่าคงยาวไปอีก 2 -3 เดือนไปถึงปลายปี กว่าน้ำจะลดและต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกพักใหญ่” <br />
<span style="color: red;">ศุภลักษณ์ มองว่า บทเรียนจากวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ คือ การวางแผนจัดการรับมือกับเรื่องน้ำอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนระบายน้ำ การสร้างเขื่อน และปัญหาโลกร้อนที่กลายเป็นปัญหาของทุกคน</span> <br />
“บทเรียนครั้งนี้คือเรื่องการวางแผนที่ต้องเป็นการวางแผนระยะยาว และการวางแผนควรต้องมองเป็น Worst case scenario หรือขั้นเลวร้ายสุดไว้ก่อน ไม่ใช่มองว่ามันไม่เกิดหรอก แต่ถ้ามันเกิดเราจะทำยังไง” <br />
พร้อมย้ำว่า หลังจากนี้คิดว่าถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล นักการเมืองที่บริหารประเทศยุคเก่าหรือยุคใหม่ รวมถึงภาคราชการต้องมองเป็นมุมเดียวกัน ระดมผู้เชี่ยวชาญเข้ามาวางแผนอย่างเป็นระบบ รัฐบาลต้องประกาศว่าหลังจากนี้จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีกหรือไม่ ไม่เช่นนั้นนักลงทุนอาจจะย้ายไปประเทศอื่น ขณะที่ทุกคนทุกภาคส่วนต้องเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งว่าเป็นฝ่ายใด <br />
<span style="background-color: lime;">"สิ่งหนึ่งที่เราจะทำได้คือร่วมใจกันช่วยเหลือกันในยามที่เดือดร้อน เท่าที่ดูคิดว่าคนไทยยังมีน้ำใจ วิกฤติครั้งนี้จึงน่าจะผ่านพ้นไปได้"</span><br />
<br />
<span style="background-color: lime;"> </span><br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-61082411162045586972011-12-28T19:12:00.000+07:002011-12-28T19:12:22.577+07:00ปรัชญายิ้มสู้น้ำ..ตัน ภาสกรนทีปรัชญายิ้มสู้น้ำ..ตัน ภาสกรนที<br />
<img alt="" height="120" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/17/images/news_img_414142_1.jpg" width="200" /><br />
เรื่อง ....ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
<span style="color: magenta;">น้ำมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ชีวิตยังต้องดำเนินต่อ ไม่มีเช้าไหนที่ฟ้าไม่สว่าง ยังมีพระอาทิตย์ขึ้นใหม่ทุกวัน ถ้าเรายังไม่ตาย ยังมีกำลังใจ ชีวิตเราก็ยังมีความหวัง </span> <span style="color: blue;">ข้อคิดง่ายๆ ที่ ตัน ภาสกรนที ฝากถึงใครที่กำลังท้อแท้ หมดหวัง ขอเพียงไม่หมดกำลังใจ ชีวิตยังเริ่มใหม่ได้เสมอ</span> <br />
<a name='more'></a><br />
หลังน้ำท่วมโรงงานอิชิตันที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.อยุธยา ผ่านไป 2 วัน ตันเปิดใจถึงบทเรียนที่เขาได้เรียนรู้จากวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ ในงานเปิดตัวหนังสือ วิถี(ไม่)ตัน ที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ <br />
<span style="color: #3d85c6;"> ระหว่างทางออกจากโรงงานระยะทาง 14 กิโลเมตร สองข้างทางผมเห็นแต่น้ำท่วม มีทั้งโรงงานที่น้ำท่วมมากกว่าผม คนที่ไม่มีบ้านจะอยู่ ไม่มีงานทำ หมดตัว ไม่มีเงิน แม้แต่บัตรประชาชนก็ยังไม่มี บางคนถึงขั้นคิดอยากจะฆ่าตัวตาย เรื่องโรงงานผมน้ำท่วมเป็นเรื่องเล็กกว่ากันเยอะ ไม่หนักหนาเท่าคนที่เขาเดือดร้อน บางคนไม่เหลืออะไรเลย </span><br />
วิกฤติครั้งนี้ไม่ใช่วิกฤติของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นวิกฤติของประเทศไทยและคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกัน ไม่ใช่แค่รัฐบาล ทหาร หรือว่าทีวีช่องไหน มูลนิธิไหน แต่ทุกคน ทุกบริษัทไม่ว่าจะอยู่จังหวัดที่น้ำท่วมหรือไม่ท่วม ถ้ายังมีกำลังงานนี้ต้องออกมาช่วยเหลือซึ่งกันและกันถึงจะผ่านวิกฤติไปได้ <br />
<span style="color: #6aa84f;">ตันเปรียบเทียบว่า น้ำท่วมเมืองไทยครั้งนี้รุนแรงไม่ต่างจาก สึนามิน้ำจืด ถึงขนาดโรงงานของเขาจะก่อกำแพงปูนหนาสูง 3 เมตรยังต้านทานแรงน้ำไว้ไม่อยู่ ตู้คอนเทนเนอร์ไหลไปทั้งอัน น้ำทะลักจนปูนทะลุ </span> ว่าไปแล้วนี่ไม่ใช่วิกฤติครั้งแรกในชีวิตที่ตันแพ้ภัยเพราะเรื่อง น้ำ ย้อนไป 30 ปีก่อนสมัยเริ่มต้นเป็นเจ้าของธุรกิจครั้งแรก เงินลงทุนก้อนแรก 5 หมื่นที่หยิบยืมมาเปิดแผงขายหนังสือ ก็เคยละลายหายไปกับลังหนังสือใต้ท้องรถทัวร์ที่ท่วมฝน <br />
ตอนนั้นผมว่าหนักกว่า เพราะเป็นเงินก้อนแรกที่ผมหยิบยืมเงินคนอื่นมาลงทุน วันนั้นไม่มีใครเชื่อว่าผมจะทำได้ ไม่มีคนให้กำลังใจเหมือนวันนี้ และผมยังมีความหวัง มีทุนที่จะทำใหม่ได้อีก <br />
<span style="color: #674ea7;"> แต่ที่กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะโรงงานใหม่สร้างจวนจะเปิดอยู่รอมร่อ เหมือนลูกเพิ่งคลอดใหม่ยังไม่ทันจะชื่นใจก็เสียไปต่อหน้าต่อตา เห็นใจคนที่เจ็บกว่าท้อกว่า นั่นคือพนักงานที่สู้อุตส่าห์ฉาบปูน ปั๊มน้ำ สู้กันมาจนนาทีสุดท้าย </span> ผมอยากอยู่ที่นั่นสักคืน กินข้าวกับเขา ไปให้กำลังใจเขา..อยู่ให้สมกับที่ลงทุนลงแรงกันมา <br />
เป็นช่วงเวลาที่ได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตอีกรูปแบบ ถึงขนาดเจ้าตัวตั้งใจว่าโรงงานใหม่ถ้าเปิดอีกครั้งจะทำห้องนิทรรศการเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ <br />
<span style="color: red;"> รถผมฝ่าเข้าไปจะถึงโรงงานแล้วเกือบจะตกคลองจมน้ำ เห็นแต่หลังคา เหมือนคลิปวีดิโอเวิร์คพอยท์ ผมอยู่ชั้นสองที่โรงงาน เห็นตะขาบ เห็นงูกำลังเลื้อย งูกำลังกินหนูอยู่บนหลังคา ขากลับสรยุทธ์ยังเจอจระเข้ </span> ถ้าคิดบวกมองในแง่ดี ในวิกฤติที่ดูเหมือนจะโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี คือ เราเจอก่อนก็ได้มีประสบการณ์ ได้เรียนรู้ก่อนคนอื่น <br />
ตอนนี้ถ้าจะปลูกบ้านใหม่ผมรู้แล้วว่าจะต้องสูง 1.50 เมตร ถ้าจะทำโรงงานใหม่จะต้องสูงกว่าเดิมอย่างน้อย 2.80 เมตร นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้ อีกอันหนึ่งคือถ้าคิดจะซื้อที่ดินข้างแม่น้ำผมจะยกเลิก (หัวเราะ) <br />
<span style="background-color: #f3f3f3; color: #ffd966;">ในวิกฤติยังทำให้เห็นน้ำใจที่ผุดพรายขึ้นมากมาย ตันเล่าว่า ลูกน้องบางคนเดินมาบอกว่าจะขอลดเงินเดือนผมบอกว่าไม่ต้องมาเลียนแบบญี่ปุ่น ยังไม่ถึงขั้นนั้น ก็ได้ใจกันไปครับ </span><span style="background-color: white; color: yellow;"> </span>อีกสิ่งที่ประทับและอยากให้สังคมช่วยกันชื่นชมมากกว่ายอดเงินบริจาคว่าใครให้มากเท่าไหร่ คือ บรรดาอาสาสมัครกู้ภัยที่สละเวลา เสี่ยงชีวิต ฝ่ากระแสน้ำให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทำงานกันด้วยใจล้วนๆ วิกฤติธรรมชาติคราวนี้ตันฝากข้อคิดว่าเราอย่าไปโทษใคร ให้โทษตัวเอง โลกนี้ต้องประกอบไปด้วยสมดุลเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ถ้าเราเอาแต่ใช้ธรรมชาติจนลืมที่จะดู วันหนึ่งธรรมชาติก็จะเอาคืนกับเราเหมือนอย่างที่กำลังเกิดขึ้น <br />
ก็เหมือนสามีกับภรรยา ผู้บริหารกับพนักงาน ถ้าเอาแต่ใช้แต่ไม่เคยดูแลกัน วันหนึ่งเขาก็จะเอาคืนจากเรา ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ธรรมชาติสอนให้เรายอมรับและเรียนรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันต่อไปต้องดูแล <br />
<span style="color: magenta;">ส่วนเรื่องโรงงานอิชิตันที่ลงทุนไป 3,500 ล้านจะเอาอย่างไรต่อไป ยังไม่มีความคิด ยังมีเวลาให้คิดเดี๋ยวน้ำลดหมดค่อยว่ากัน ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่า อะไรที่มีกำลังมีความสามารถช่วยเหลือคนอื่นที่เดือดร้อนได้ เวลานี้อยากให้ทุกคนร่วมด้วยช่วยกัน--จบ--</span><br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-13008308182408640442011-12-28T19:07:00.001+07:002011-12-28T19:09:02.610+07:00คอลัมน์: My Way: นักออกแบบ(ชีวิต) อมตะ หลูไพบูลย์<strong>คอลัมน์: My Way: นักออกแบบ(ชีวิต) อมตะ หลูไพบูลย์</strong><br />
เรื่อง.. ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
<img alt="" height="130" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/18/images/news_img_414311_1.jpg" width="200" /><br />
<span style="color: magenta;"> ล้วงลึกตัวตนที่มากกว่าหนังโฆษณาและโปรไฟล์สุดเริ่ด สถาปนิกหนุ่มโสดวัย 42..โปรเจคแอมบาสเดอร์คนล่าสุด แคมเปญระดับโลก Keep Walking ของจอห์นนี่ วอล์กเกอร์</span> <br />
<span style="color: blue;">อมตะ หลูไพบูลย์ ไม่ใช่แค่นักออกแบบมือรางวัล แต่เขายังเป็นนักออกแบบชีวิตที่ ชัดเจนกับเป้าหมาย ตั้งแต่ค้นหาตัวเองเจอสมัยเรียนหนังสือ </span> <br />
<a name='more'></a> <br />
<span style="color: red;">เป้าหมายผมคือเป็นสถาปนิกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรงหรือตัวเองช้าเกินไปที่จะทำสิ่งใหม่ๆ อมตะบอกเช่นนั้น </span> หลังจากเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาครั้งแรกที่คณะวิศวะจุฬาฯ แต่แค่ปีแรกก็แน่ใจว่าไม่ใช่สิ่งที่รักและถนัด เขาตัดสินใจเลือกทางเดินใหม่ที่คิดว่าใช่มากกว่า ด้วยการเอนทรานซ์ใหม่เข้าคณะ สถาปัตย์ จุฬาฯ แม้ว่าทางบ้านจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเลือกแล้วเขามุ่งมั่นว่าต้องทำให้ดีที่สุด <br />
<span style="color: lime;"> หลังคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองของคณะ อมตะมุ่งมั่นบินไปเรียนต่อปริญญาโทอีก 2 ใบด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน และการพัฒนาเมืองในประเทศกำลังพัฒนาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด </span> กลับมาเริ่มงานครั้งแรกที่เมืองไทยในวัย 25 ที่บริษัท Metric ซึ่งเป็นบริษัทของพ่อที่ร่วมก่อตั้งกับหุ้นส่วน ก่อนจะคว้าโอกาสแจ้งเกิดจากผลงานออกแบบโครงการใหญ่ชิ้นแรก ตอนอายุ 31 รีสอร์ทหรูระดับ 6 ดาว ศิลา เอวาซอน ไฮด์อะเวย์ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ซิกซ์เซนส์ ไฮด์อะเวย์ สมุย) <br />
<span style="color: red;">สถาปนิกคนดัง ยอมรับว่า การแจ้งเกิดสร้างสรรค์ผลงานโครงการใหญ่ๆ ผูกไว้กับเงื่อนไขเงินลงทุนที่สูง ลำพังแค่เก่งหรือมีความสามารถอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องอาศัยโอกาสก้าวในเส้นทางอาชีพด้วย</span> <br />
ผมโชคดีที่โอกาสมาถึงขณะที่อายุยังไม่มาก ซิกซ์เซนส์ ไฮด์อะเวย์ สมุย ถือเป็นสเต็ปการก้าวที่สำคัญ แต่เชื่อเถอะความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณเริ่มต้นที่อายุเท่าไหร่ สถาปนิกใหญ่ๆ ของเมืองนอกบางคนเริ่มงานโครงการแรกตอนอายุ 50 ตอนนี้อายุเกือบ 70 คือพีคสุดๆ จะเริ่มที่ 30 หรือ 50 ไม่ใช่ปัญหา แต่เมื่อไหร่ที่ได้โอกาสก็ทำให้สุดความสามารถแล้วกัน <br />
<span style="color: blue;">ถึงแม้โอกาสของคนเราจะไม่เท่ากัน แต่เราวิ่งหาโอกาสได้เสมอ ถ้าวันนี้โอกาสของคุณยังมาไม่ถึง ยังไม่มีใครรู้จักไม่เป็นไร หาเวทีประกวดซึ่งสมัยนี้มีมากมายทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ</span> <br />
ถึงแม้บางโครงการอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่จะเป็นผลงานที่สะสมในพอร์ตโฟลิโอ บางคนถึงแม้เริ่มต้นจากรับงานเล็กๆ แต่ถ้าทำให้ดีๆ มีฝีมือ ถ่ายภาพสวยๆ ไปลงหนังสือ หาช่องทางประชาสัมพันธ์ผลงานไปเรื่อยๆ การสร้างโอกาสของแต่ละคนอาจจะต่างกัน เพียงแต่ว่าเราเลือกและทำหรือเปล่า หรือว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไปเรื่อยๆ แล้วก็ผันตัวออกไปทำอะไรที่ก๊อกแก๊กลงไปเรื่อยๆ ทั้งที่ตัวเองเก่งมากเพราะคิดแต่ว่าไม่มีโอกาส ผมว่าทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เราเลือกว่าเราจะเป็นอะไร <br />
<span style="color: lime;">อมตะ เล่าว่า เขาเองเป็นคนหนึ่งที่เติบโตจากการประกวดและการท้าทายตัวเองมาทุกรูปแบบ </span> ตั้งแต่สมัยเรียน ผมเป็นคนตั้งใจเรียนชนิดบ้าเลือด ได้เกียรตินิยมเหรียญทอง ส่วนหนึ่งมาการปลูกฝังจากที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ผมมาจากครอบครัวที่ไม่มีอะไรเลย คุณปู่คุณย่านั่งเรือมาจากไหหลำ ผมเป็นคนจีนรุ่น 3 การที่เรามาจากการที่เราไม่มีอะไรเลยทำให้เรียนรู้ว่าเราต้องทำงานหนัก <br />
ขณะที่สิ่งที่ได้รับการปลูกฝังจากคุณแม่ซึ่งเป็นตำนานพีอาร์รุ่นเก๋าวงการโรงแรม (พรศรี หลูไพบูลย์) คือคำว่า Beyond Expectation เติมเต็มให้เหนือความคาดหวังของลูกค้า <br />
<span style="color: blue;">บางวันผมทำงานเหมือนแท็กซี่ขับสองกะ เริ่มตี่สี่ครึ่งทำงานจนถึง 6 โมงครึ่ง 1 ทุ่ม เพราะฉะนั้นชีวิตมันไม่ง่าย แต่เป็นสิ่งที่เราเลือกอยากจะทำให้เต็มที่ที่สุด... </span> อมตะ บอกว่า เขาอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่เชื่อว่าถ้าแข่งที่ความตั้งใจ เขาตั้งใจมากซึ่งสิ่งเหล่านี้ลูกค้าจะเห็นจากเวลาทำพรีเซนเทชั่นที่จัดเต็มจริงๆ และคิดงานออกมาอย่างสุดๆ <br />
<span style="color: red;">พลังความมุ่งมั่น เป็นคำตอบหนึ่งที่ทำให้ ทศ จิราธิวัฒน์ พี่ชายใจดี เจ้าของโครงการหยิบยื่นโอกาสให้สถาปนิกหนุ่มวัย 29 ขณะนั้นออกแบบโครงการใหญ่ครั้งแรกในชีวิต มูลค่าก่อสร้าง 500 กว่าล้าน เบื้องหลังผลงานรีสอร์ทแรก ซิกซ์เซนส์ ไฮด์อะเวย์ สมุย คือ 4 ปีเต็มของการอัดพลังความทุ่มเท</span> <br />
หลังจากแจ้งเกิดโครงการแรกที่คว้าทั้งรางวัลรีสอร์ทที่ดีที่สุดในโลกโดยนิตยสารคองเดอ นาสท์ ทราเวลเลอร์ และรางวัลดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ รีสอร์ทแห่งที่สอง ศาลา ภูเก็ต รีสอร์ท ก็ได้รับการหยิบยื่นโอกาสต่อมาโดยพี่ชายคนเดิม พร้อมๆ กับก้าวแรกของการออกไปเปิดบริษัท Department of Architecture ของตนเอง สร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลาย อาทิ อาคารซันวัน, ร้านอาหาร เซนส์, ล็อบบี้บาร์และร้านอาหารในโรงแรมฮิลตัน พัทยา ฯลฯ <br />
<span style="color: magenta;">การออกแบบของเราแตกต่าง เพราะเวลาออกแบบเราจะไม่มีภาพอะไรอยู่ในหัวเลย ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการออกแบบจะมาจากเนื้อของแต่ละโครงการ เราตั้งใจจะไม่ให้มีลายเซ็นของเราอยู่ในรูปลักษณ์การออกแบบเด็ดขาด เพราะอยากให้ทุกโครงการมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในแบบตัวเอง </span> อมตะเลือกออกแบบบริษัทที่มีขนาดไม่ใหญ่มีทีมงานสิบกว่าชีวิต เพื่อรักษาความสามารถในการเลือกรับโครงการ ไม่ยึดติดกับขนาดหรือมูลค่าโครงการใหญ่หรือเล็ก แต่เน้นที่โครงการที่มีความต้องการที่พิเศษ และเปิดกว้างกับการนำเสนอไอเดีย รวมถึงมีเวลาให้คิดงานและงบประมาณพอสมควร <br />
ข้อดีของการมีบริษัทไม่ใหญ่ คือ เราไม่จำเป็นต้องรับโปรเจคมากมายในเวลาเดียวกัน ทำงานที่อยากทำ ทำแค่พอดีๆ คิดงานให้ออกไปดีๆ ดีกว่า เงินไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญ ถึงจะหาเงินได้มากกว่านี้ร้อยเท่า คุณก็ยังกินข้าวแค่วันละ 3 มื้อ <br />
การมีความสุขในอาชีพสถาปนิกที่สามารถเลือกออกแบบชีวิตเองได้เป็นสิ่งที่อมตะอยากสร้างแรงบันดาลเล็กๆ ให้กับสถาปนิกรุ่นน้องๆ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดต่างๆ ในอาชีพ เช่น งบประมาณโครงการเมืองไทยที่เทียบไม่ได้เลยกับต่างประเทศ แต่ในแง่ไอเดียเราสามารถคิดงานดีๆ ได้ภายใต้โจทย์งบที่จำกัด <br />
<span style="color: blue;"> สมัยก่อนผมได้ยินคนพูดให้ฟังเสมอว่า คุณจะสนุกกับการออกแบบแค่สมัยเรียนเท่านั้นแหละ พอจบออกไปแล้วก็ได้แต่ทำงานเดย์ทูเดย์ สิ่งที่เรียนมาไม่สามารถออกไปทำงานจริงได้หรอก ผมอยากเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันว่าเรียนจบสถาปนิกแล้วคุณสามารถทำงานให้สนุกได้ไม่น้อยกว่าสมัยเรียนหนังสือเลย</span> <br />
สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากถึงสถาปนิกรุ่นใหม่สมัยนี้ที่อยากประสบความสำเร็จเร็วๆ ใจร้อนจบใหม่ออกมาทำฟรีแลนซ์ อย่าคิดว่าเรียนจบสถาปัตย์มา ไม่ใช่จะเริ่มต้นบินเดี่ยวออกแบบได้ทันที คุณต้องสั่งสมองค์ความรู้ในบริษัทอย่างน้อย 3-4 ปี <br />
ผมไม่สนับสนุนการออกมาเป็นฟรีแลนซ์ทันทีคนเดียวเพราะคุณจะไม่ได้เรียนรู้จากคนอื่นเลย แรกๆ อาจจะคิดว่าได้เงินดีกว่าทำงานบริษัท แต่นั่นคือการมองแค่ในระยะสั้น ตรงข้ามกับถ้าคุณสั่งสมประสบการณ์จากบริษัทจนเก่งขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งออกมาเติบโตตั้งบริษัทเมื่อพร้อม ตัวเลขจะสูงกว่ากันมากในระยะยาว <br />
<span style="color: #674ea7;"> </span><span style="color: magenta;">ท้ายที่สุดกับคำถามว่าอะไรคือโครงการในฝันบนเส้นทางอาชีพสถาปนิก ชายหนุ่มอมยิ้มบอกว่า วันหนึ่งถ้าผมมีเงินมากพอ ผมอยากทำโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุที่อยู่พื้นที่เดียวกับโรงเรียนอนุบาล อีกฝันหนึ่งบั้นปลายชีวิตคืออยากจะทำรีสอร์ทเล็กของตัวเองที่นั่งทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่ริมทะเลหรือริมแม่น้ำ เข้าออฟฟิศแค่อาทิตย์ละไม่กี่วัน คิดว่าน่าจะเป็นชีวิตที่ดี--จบ--</span><br />
<br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-3558526791348912062011-12-28T19:02:00.000+07:002011-12-28T19:02:49.068+07:00คอลัมน์: Smart Work: วางกรรไกร..ขยับปาก‘บาร์เบอร์’รุ่นเก๋าคอลัมน์: Smart Work: วางกรรไกร..ขยับปาก‘บาร์เบอร์’รุ่นเก๋า<br />
<br />
เรื่อง: ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
ภาพ: ธนาชัย ประมาณพาณิชย์ <br />
<span style="color: blue;">จับกรรไกร ไถปัตตาเลี่ยนเสริมหล่อให้คุณผู้ชายดูดีมา 45 ปี ถ้าไม่ใช่เพราะใจรักจริงๆคงไม่ยืนหยัดในอาชีพมายาวนานขนาดนี้ </span> ถึงแม้อายุจะล่วงเลยวัยเกษียณมาแล้วหลายปี แต่ช่างรุ่นเก๋าฝีมือดี <span style="color: red;">สวัสดิ์ ละอาด</span> ยังไม่มีทีท่าจะแขวนกรรไกรง่ายๆ เพราะความผูกพันกับลูกค้าที่กลายเป็นมิตรภาพในร้านตัดผม <br />
<a name='more'></a><br />
บริการที่ดูคลาสสิกและจริงใจ ในร้านบาร์เบอร์บรรยากาศแมนๆ กับช่างตัดผมผู้พิถีพิถันคอยเล็งทุกองศาเหลี่ยมมุมให้ทรงผมลูกค้าออกมาเนี้ยบไร้ที่ติ บริการเสริมบนเก้าอี้ไฟฟ้าที่ปรับเอนนอนได้ เพลินและเคลิ้มตั้งแต่โกนหนวดยันนวด พร้อมทำความสะอาดหูเสร็จสรรพ คือ เสน่ห์ของร้านบาร์เบอร์ที่คุ้นเคยซึ่งนับวันหาได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองหรือห้างหรู <br />
<span style="color: cyan;"> ปัจจุบัน ช่างสวัสดิ์เป็นช่างตัดผมมือดีประจำร้าน Blue Harbour ร้านตัดผมคุณผู้ชายสุดเนี้ยบ บนชั้น 2 เค-วิลเลจ สุขุมวิท 26 ที่มี นิธิ สถาปิตานนท์ สถาปนิกศิลปินแห่งชาติ เป็นเจ้าของ ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เป็นช่างตัดผมและลูกค้าที่รู้จักกันมา 30 กว่าปี ตัดผมด้วยกันมาตั้งแต่หนุ่มๆ จนกลายเป็นความผูกพันระหว่างลูกค้ากับช่างผมซึ่งก้าวพ้นวัยเกษียณทั้งคู่ </span> ช่างสวัสดิ์เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นอาชีพช่างตัดผมเมื่อ 45 ปีที่แล้ว เริ่มจับกรรไกรตั้งแต่อายุ 20 จากเดิมเคยเป็นหนุ่มชาวประมงรอนแรมไปทั่วตามปักษ์ใต้ เคยใช้บริการร้านตัดผมตามเมืองท่าต่างๆ จนมองเห็นลู่ทางว่าช่างตัดผมเป็นอาชีพที่น่าสนใจ เพราะทำให้คนดูดีดูหล่อขึ้น ต่อมาโชคชะตานำพาให้เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตามคำชักชวนของเพื่อน เริ่มจากซอยกรรไกรอยู่แถวประตูน้ำ ก่อนจะย้ายมาตัดผมในโรงแรมย่านสุขุมวิท <br />
"<span style="color: magenta;">ตอนอยู่โรงแรมก็คลุกคลีกับฝรั่ง สมัยนั้นมีโรงแรมมรกต เดี๋ยวนี้เลิกไปหมดแล้ว สมัยนั้นเป็นโรงแรมที่ทหารอเมริกันมาพักช่วงสงครามเวียดนาม ลูกค้าฝรั่งจะค่อนข้างเยอะ จากนั้นมีพรรคพวกมาเปิดร้านที่สุขุมวิทชื่อ ร้านสตาร์บาร์เบอร์ เยื้องๆ สถานทูตฟิลิปปินส์ ยุคนั้นโด่งดังมากและเป็นร้านที่สวยที่สุดในย่านสุขุมวิท ก่อนจะย้ายมาประจำที่ร้านโทนี่ บาร์เบอร์ ที่โด่งดังในสุขุมวิทเหมือนกัน" </span> รายได้ของช่างตัดผมในร้านบาร์เบอร์ย่านสุขุมวิทในยุคนั้นนับว่าไม่น้อย เทียบกับร้านทั่วไปที่ตัดผมหัวละ 5 บาท แต่ถ้าตัดลูกค้าฝรั่งที่สุขุมวิทราคาจะอยู่ที่ 120 บาท แต่รวมบริการเสริมหลายอย่าง <br />
นอกจากลูกค้าชาวต่างชาติแล้ว ร้านบาร์เบอร์ในย่านสุขุมวิทยังเป็นย่านที่มีลูกค้าระดับ เศรษฐี นักธุรกิจในเมืองไทยมาใช้บริการ ลูกค้าหลายคนยังผูกพันกันมายาวนาน เช่น ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ที่เป็นลูกค้าตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา จนกระทั่งถึงปัจจุบันยังตามไปตัดผมให้ที่บ้านซึ่งทำเป็นห้องตัดผมโดยเฉพาะ <br />
"<span style="color: lime;">จะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ผมยึดหลักว่าต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เวลาตัดผมให้ลูกค้า ผมจะตั้งใจทำให้ลูกค้าดูดีที่สุด ทำด้วยความประณีตที่สุด เวลาทำให้ลูกค้าดูดีแล้วเราก็จิตใจสบาย รู้สึกมีความสุข อันนี้เป็นความมุ่งหวังในอาชีพของเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากฝีมือ คือ ความสะอาดในร้านตัดผมที่ต้องใส่ใจเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ ยังมีเรื่องอัธยาศัย ความเป็นกันเองกับลูกค้าที่สำคัญ เพราะงานของเราคือการบริการ</span> <br />
ลูกค้าที่คุ้นเคยกัน จะมีหัวข้อสนทนาพูดคุยทั้งเรื่องการเมือง เรื่องธุรกิจ คนเป็นช่างก็ต้องคุยกับลูกค้าได้ ผมเองก็ต้องอ่านติดตามข่าวสารบ้านเมืองตลอด เรื่องอะไรเราต้องเรียนรู้หมด" ช่างสวัสดิ์เล่า<br />
ตัดผมมา 45 ปี องค์ความรู้จากในห้องเรียนยังไม่เท่ากับประสบการณ์จริงที่สั่งสมมาตลอดในเส้นทางอาชีพ ต้องพร้อมที่จะปรับตัวเรียนรู้ตลอดเวลา สมัยก่อนแฟชั่นทรงผมผู้ชายไม่ค่อยหวือหวาเท่าไร จะเป็นตัดทรงทั่วๆ ไป เช่น รากไทร จอนหนา รองทรง อเมริกัน สกินเฮด ยุคก่อนอาจจะหล่อแบบมิตร ชัยบัญชา, สมบัติ เมทะนี, ไพโรจน์ ใจสิงห์ แต่ยุคนี้ก็คงต้องเทรนด์เกาหลี ทรงวัยรุ่นพวกนี้ช่างที่ทันยุคสมัยจะต้องทำได้ด้วย <br />
"<span style="color: blue;">เวลานี้มีลูกค้าอายุตั้งแต่ 80 กว่า จนกระทั่งเด็กสิบขวบ ตัดให้รุ่นปู่ รุ่นพ่อ ยันรุ่นหลาน ลูกค้าคนหนึ่งใช้เวลาตัดประมาณหนึ่งชั่วโมง ตัด สระ แคะหู บางคนก็ย้อมผมบ้างถ้าสูงอายุ ส่วนใหญ่ถ้าลูกค้าจะติดใจก็คงเป็นเรื่องฝีมือการตัด ความเนี้ยบ พิถีพิถันมากกว่า ช่างแต่ละคนก็ต้องมีเทคนิค ลูกค้าเข้ามานั่งปั๊บ เราต้องดูแล้วศีรษะอย่างนี้ต้องซอยอย่างนี้ให้เข้ากับหน้าตา ไม่ใช่ตัดโดยที่ไม่ได้มองเลยว่ารูปหน้าเป็นแบบไหน </span> หลักของผมเวลาตัดต้องมองดูกระจกตลอดว่าใบหน้าลูกค้าออกมาดูดี ไม่ใช่เรามองแต่ศีรษะอย่างเดียว อันนั้นหมายถึงตัดตามที่เรียนมา แต่ถ้าจะให้ลูกค้าดูดีเราต้องหมั่นมองกระจกว่าหน้าตาเขาต้องดูดี เป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง” <br />
<span style="color: red;">ช่างสวัสดิ์เล่าว่า ความสำเร็จในอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ทำให้มีรายได้เลี้ยงลูกๆ ทั้ง 4 คนจนเรียนจบการศึกษา มีทั้งเรียนจบระดับด็อกเตอร์ บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง ตอนนี้เรื่องฐานะเงินทองไม่ได้เดือดร้อนอะไร จริงๆลูกๆก็อยากให้วางมือไปพักผ่อน แต่ยังมีความสุขอยู่ เลยคิดว่าอยากจะตัดผมอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังมีกำลัง--</span>จบ--นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-45902392040757757922011-12-28T18:56:00.000+07:002011-12-28T18:56:56.323+07:00ดุลยภาพของนายแบงก์ บัณฑูร ล่ำซำ ดุลยภาพของนายแบงก์ บัณฑูร ล่ำซำ<br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/08/images/news_img_412884_1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="125" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/08/images/news_img_412884_1.jpg" width="200" /></a><br />
เรื่อง : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง <br />
ภาพ : ศูนย์ภาพเนชั่น </div><br />
<span style="color: blue;">โลกของคุณปั้น บัณฑูร ล่ำซำประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย</span> <span style="color: lime;">มีหลายด้าน ทั้งโลกการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่เต็มไปด้วยความท้าทายใหม่ๆ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก </span><span style="color: red;">และการเปิดเสรีธุรกิจแบงก์ที่กำลังจะเปิดฉากอย่างเต็มรูปแบบ</span><br />
<a name='more'></a><br />
โลกแห่งเสียงดนตรีที่ปลดปล่อยนายแบงก์ใหญ่ให้ลอยละล่องไปกับท่องทำนองเสียงแซกโซโฟน...หนีจากความจริงไปชั่วขณะ <br />
<span style="color: blue;"> โลกความสุขใจเล็กๆ ที่เมืองน่าน แรงดลใจที่ทำให้ลงทุนซื้อกิจการโรงแรมเก่าแก่ ปรับปรุงเป็นโรงแรมเล็กๆ น่าพัก พูคาน่านฟ้า</span> <br />
ล่าสุด อีกหนึ่งบทบาทใหม่ คือ การออกโรงเป็นแม่งานฝ่ายฆราวาส แถลงข่าวโครงการจัดหาทุนซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี เนื่องในโอกาสมหามงคลที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็นชาวกาญจนบุรี จะทรงเจริญพระชันษา 100 ปี ในปี 2556 <br />
<span style="color: magenta;"> นับเป็นหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับบทบาทในโลกทางธรรมของนายแบงก์ที่ชื่อ บัณฑูร ซึ่งปัจจุบันรั้งตำแหน่งประธานกรรมการ และผู้จัดการมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย</span> <br />
นอกจากนี้ ยังมีบทบาทเป็นไวยาวัจกรของวัดบวรนิเวศวิหารและไวยาวัจกรของวัดญาณสังวราราม บทบาทนอกเหนือจากงานธนาคารเหล่านี้ คุณปั้นเล่าว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากสัมพันธภาพที่เป็นมงคลแก่ชีวิต <br />
จากความผูกพันกับวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งเขาเคยบวชและจำพรรษาอยู่ที่นี่ โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ <br />
<span style="color: blue;">ปี 2520 ผมเรียนจบมาใหม่ๆ ก็มาบวชที่นี่ เกิดมาไม่เคยมาวัดบวรฯเลย เพราะคุณย่าเข้าวัดเทพศิรินทร์ แต่มีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายแม่แนะนำ พามาฝากที่วัดบวรฯ บวชหนึ่งพรรษา โดยมีสมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ นั่นคือจุดเริ่มต้นของสัมพันธภาพที่เป็นมงคลต่อชีวิต ระหว่างที่บวชเรียน รู้สึกประทับใจในพระจริยวัตรของสมเด็จพระอุปัชฌาย์ที่รับหน้าที่สอนพระใหม่ด้วยพระองค์เองทุกวัน รวมถึงวัตรปฏิบัติต่างๆ ของสงฆ์ ทั้งการออกบิณฑบาตเองทุกวัน แม้ชันษาตอนนั้นจะ 60 แล้ว คุณปั้นเล่าย้อนถึงความประทับใจของการบวชเรียนเป็นศิษย์ทางธรรมครั้งแรกเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว</span> <br />
นับจากนั้นเวลามีปัญหาก็จะมาปรึกษาและติดต่อโดยตลอด จนกระทั่งได้รับมอบหมายจากสมเด็จพระสังฆราช ให้เข้ามาช่วยทำหน้าที่จัดการระบบทรัพย์สินที่สะสมมา 5 รัชกาลของมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย รวมทั้งดูแลจัดการบริหารทรัพย์สินของวัดบวรฯ <br />
<span style="color: lime;">เป็นงานที่สมเด็จพระสังฆราชมอบหมายให้มาทำ ก่อนที่ท่านจะไม่ค่อยสบาย ท่านคงเห็นปัญหาต่างๆ ที่มี และรู้ว่าเราไม่ได้มาคนเดียว แต่มาช่วยทั้งทีม เพราะงานมูลนิธิฯทำคนเดียวไม่ได้ ต้องทำเป็นคณะ</span> <br />
ถึงแม้ช่วงแรกจะมีกรณีคำสั่งปลดออกจากตำแหน่ง แต่ในที่สุดปัญหาการเข้าไปจัดการระบบจัดการผลประโยชน์ ปิดช่องโหว่ต่างๆ ให้มีความรัดกุมและเป็นระบบก็สามารถคลี่คลายได้ในที่สุด <br />
การเข้าไปแก้ไข สำคัญคือต้องมีอำนาจในการจัดการ ไม่ได้ไปฟาดฟันอะไรใคร แต่ต้องจัดการให้ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น และไม่ได้ทำคนเดียว แต่เอาผู้ที่เกี่ยวข้องมาทำกันหลายคน... <br />
โครงสร้างกรรมการในมูลนิธิฯ ไม่ได้ถือว่าเปลี่ยน พระยังเป็นกรรมการ อำนาจคือพระ ฆราวาสเป็นแค่ลูกมือ การตัดสินต้องตัดสินโดยพระแต่คนรับไปทำคือฆราวาส อาจจะมีกรรมการใหม่เข้ามาเพิ่มบ้าง แทนคนเก่าที่เสียชีวิต.... <br />
<span style="color: magenta;">ที่ผ่านมา คุณปั้นเข้ามาทำงานนี้ 8-9 ปีแล้ว จัดการระบบทรัพย์สินต่างทั้งเรื่องการทำบัญชี และสัญญาต่างๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของมูลนิธิฯ เพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หลักเพื่อจัดการศึกษาปริยัติของพระสายธรรมยุต โดยเข้ามาดูแลการเช่าให้ได้ผลประโยชน์ที่เหมาะสม ยกเว้นในกรณีคนที่อนาถานั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พวกที่มาอยู่ที่ดินย่านการค้าก็ควรต้องจ่ายใกล้เคียงกับราคาตลาด โดยอิงจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และอาจจะต่ำกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ ไม่ใช่เช่าไปทำร้านเพชรโดยไม่จ่ายค่าเช่า </span> ธรรมะจากพระสังฆราช <br />
หากจะถามถึงธรรมะที่ได้รับการถ่ายทอดจากสมเด็จพระสังฆราชในช่วงที่เคยบวชเรียน และนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หนึ่งในนั้นคือการจัดการด้านอารมณ์ความเป็นคนขี้โมโหซึ่งเป็นบุคลิกติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร <br />
เคยถามสมเด็จพระอุปัชฌาย์ว่าตัวเองเป็นคนขี้โมโหจะทำยังไงดี ท่านบอกว่าอาตมาก็ขี้โมโห สมัยหนุ่มๆ ก็เคยจับลูกศิษย์เฆี่ยน ตอนหลังก็ไม่รู้เฆี่ยนไปทำไม <br />
เป็นธรรมะที่ได้เรียนรู้จากสมเด็จพระสังฆราชว่า การจะทำอะไรให้ได้ผล ไม่จำเป็นต้องโมโห เพราะโมโหไม่ใช่การแก้ปัญหา ยิ่งโมโหมากเกินไปจะยิ่งเสีย ให้พิจารณาดูตามเหตุตามผล แล้วก็แก้ไปตามเหตุตามผล <br />
ตอนหนุ่มๆ ก็ยังโมโหอยู่ แต่พออายุมากขึ้นก็ใจเย็นลงไปเยอะ ได้เห็นว่าเย็นลงแล้วมันดีกว่าร้อน ได้เห็นว่าการโมโหไม่ได้แก้ปัญหา เผลอๆ ยิ่งทำให้ปัญหามากขึ้น การแก้ปัญหาต่างๆ ถ้าแก้ด้วยความมีสติ มันดีกว่าโวยวายใช้อารมณ์ แต่บางครั้งก็ต้องมีบ้าง ไม่งั้นมันไม่เดิน (ยิ้ม) <br />
<span style="color: red;"> คุณปั้นบอกว่าตอนนี้เริ่มปล่อยวางได้ขั้นหนึ่ง แต่ยังปล่อยวางได้ไม่หมด เพราะยังมีหน้าที่ มีความรับผิดชอบ </span> ส่วนเทคนิคในการบริหารจัดการอารมณ์มีเคล็ดลับง่ายๆ คือ ถ้ามีสติเพ่งลงไปโดยไม่จินตนาการปรุงแต่งให้มันเร็วไปกว่าเดิม สักพักมันก็จะหายไป ส่วนใหญ่เวลามีอะไรเข้ามากระทบแล้วไม่พอใจ เรามักจะไปปรุงแต่งต่อ เช่น ไอ้นี่มันมาดูถูกฉันอย่างนั้นอย่างนี้ คือ อีโก้ของคนมันจะยิ่งไปทำให้ระเบิด <br />
เดี๋ยวนี้สติมาเร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะแก่ลง เห็นโลกมามากขึ้น ทำให้เกิดปัญญา สติมันจะมาจากปัญญาก่อน ปัญญาว่าเราควรตั้งสติอย่างนี้ ไม่ใช่ทำอะไรพรวดพราดออกไป <br />
ในชีวิตของคุณปั้น เคยห่มผ้าเหลืองมาแล้ว 2 ครั้ง บวชเรียนจนได้นักธรรมตรี ครั้งแรกบวชเรียน 1 พรรษาตอนเรียนจบใหม่ๆ ที่วัดบวรฯ ก่อนบวชครั้งที่สองในวัย 50 ที่วัดญาณสังวราราม <br />
เคยบวชอีกครั้ง 15 วันที่วัดญาณสังวราราม คิดว่าเอาสักหน่อย เพราะเป็นไวยาวัจกรมา 2 วัดแล้ว บวชครั้งที่สองทำอีกแบบหนึ่ง กินมื้อเดียว เดินขึ้นเดินลง นอนไม่มีไฟ ทำวัตรปฏิบัติแบบพระป่า ไปอยู่บนเขา <br />
วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี เป็นอีกหนึ่งวัดที่คุณปั้นเข้าไปมีบทบาทเป็นไวยาวัจกรของวัด โดยเข้าไปปรับปรุงระบบการจัดต่างๆ ภายใน เนื่องจากเป็นอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นวัดที่เป็นพระนามของสมเด็จพระสังฆราช <br />
<span style="color: lime;"> ตอนนี้หลายอย่างปรับปรุงดีขึ้น แต่ยังต้องทำอะไรอีกเยอะ เพราะเป็นวัดใหญ่มีเนื้อที่กว่า 3,000 ไร่ <br />
ที่นั่นยังมีบ้านพักส่วนตัวที่สร้างขึ้นในบริเวณใกล้เคียง เดิมตั้งชื่อว่า บ้านสามญาณ หมายถึง ญาณที่พระพุทธเจ้าสำเร็จในวันตรัสรู้ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อใหม่ตามคำแนะนำของอาจารย์ที่นับถือ เป็นชื่อ บ้านไพรระหง แปลว่า ต้นไม้ป่าที่สูง </span> ส่วนหลังจากนี้คุณปั้นมีคำตอบยืนยันชัดเจนว่าไม่มีความคิดจะบวชอีก <br />
ไม่ได้ๆ เดี๋ยวเป็นชายสามโบสถ์ สามอย่างอื่นได้ แต่อย่าสามโบสถ์ (หัวเราะ) <br />
หลักแห่งความสมดุล <br />
การให้ความสำคัญกับการติดอาวุธทาง ปัญญา นอกจากองค์ความรู้ทางโลก องค์ความรู้ทางธรรมเป็นเรื่องหนึ่งที่คุณปั้นให้ความสนใจ เหตุผลเพราะมองว่าธรรมะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต <br />
ไม่ได้สัมผัสธรรมะด้วยการบวชอย่างเดียว แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน การอ่านหนังสือ รับจากสื่อต่างๆ ก็ถือเป็นการสัมผัสธรรมะอย่างหนึ่ง ธรรมะมีอยู่โดยทั่วไป ขึ้นอยู่กับใครจะปฏิบัติตามปกติแบบไหน <br />
<span style="color: blue;">คำว่าปฏิบัติธรรม ถ้าหมายถึงการนั่งสมาธิ ก็ทำขั้นหนึ่งไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่จะสวดมนต์ทุกวัน คำว่าปฏิบัติธรรมไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้าฌานทุกวัน การศึกษาในเชิงธรรมะยังได้จากการดูความเป็นไปของโลกมนุษย์</span> <br />
อย่างที่มีคนบอกว่ามันโกหก มันโกงกันทุกวัน ก็เป็นการศึกษาในเชิงธรรมะว่าโลกมนุษย์มันเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็ไม่ใช่ใครที่จะลุกไปแก้มันในวันเดียว หรือความเห็นของเราจะเป็นความเห็นอันเดียวที่ถูกต้อง ก็ต้องมองในเชิงธรรมะด้วยว่าโลกมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ แต่เราทำในส่วนที่เราต้องทำเพื่อหวังว่ามันจะมีส่วนช่วยให้ดีขึ้นทีละนิด <br />
หลักธรรมหนึ่งที่คุณปั้นนำมาใช้เป็นธรรมะของการจัดการธุรกิจ หลักการยึดหลักความสมดุล และความเหมาะสม <br />
การใช้ธรรมะในธุรกิจ ไม่ว่าจะธุรกิจธนาคารหรือธุรกิจอะไรก็ตาม หลักการใหญ่ๆ ก็คือความสมดุลของผลประโยชน์ อีกอันหนึ่งคือต้องมีความเพียรในการสร้างธุรกิจ ซึ่งถือเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ทำมาหากินจะต้องใช้ความเพียรพยายามในการคิด สร้างรูปแบบการทำมาหากิน <br />
<span style="background-color: magenta;">เมื่อธุรกิจเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาแล้ว และก็มีประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก มี 4 กลุ่มใหญ่ๆ ที่จะต้องสร้างความสมดุล คือ ฝ่ายเจ้าของธุรกิจหรือผู้ถือหุ้น ฝ่ายลูกค้าที่มาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ ฝ่ายพนักงานที่ทำธุรกิจด้วยกัน และสังคมประเทศชาติโดยรวม ไม่ว่าจะธุรกิจใดก็ตามมีโจทย์ที่ต้องสร้างความพอดีทั้งสี่กลุ่มใหญ่ให้เกิดขึ้นให้ได้</span> <br />
ถ้าใครได้มากเกินไปน้อยเกินไปมันก็จะเป็นความไม่ปกติเกิดขึ้น นั่นก็คือธรรมะของการจัดการกิจการของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง หรือแม้กระทั่งการกุศล การจัดการเงินของวัดที่ต้องมีความสมดุล อะไรให้ได้ อะไรให้ไม่ได้ <br />
หลักความสมดุลใช้ได้กับหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้งบประมาณที่ต้องมีความสมดุล ความสมดุลที่จะอยู่กับกระแสความผันผวนของโลก ความสมดุลทางการเมืองที่จะห้ำหั่นกันหรือจะปรองดองเพื่อไปด้วยกันได้ <br />
สุขภาพดีด้วยการกิน <br />
หลักการมีสมดุลยังนำมาใช้กับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการละเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ค่อยปรับวิถีชีวิต ค่อยลดมาทีละขั้น เริ่มจากงดสัตว์ใหญ่ก่อน โดยเลิกกินเนื้อวัวมา 20 ปีแล้ว ตามด้วยเลิกกินหมูมา 10 ปี ส่วนเป็ดและไก่เพิ่งเลิกได้เมื่อไม่นานมานี้ <br />
<span style="color: lime;"> ตอนนี้ยังมีกุ้ง หอย ปู ปลาที่ยังกินอยู่ แต่สัตว์ใหญ่ไม่กินแล้ว เพื่อดูแลสุขภาพ เพราะคนเราเมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการย่อยเนื้อสัตว์พวกนี้จะน้อยลง การออกกำลังกายก็เป็นส่วนประกอบหนึ่ง แต่สำคัญที่สุดคือเรื่องการกิน มนุษย์มักจะพังเพราะเรื่องการกิน ถ้ากินและดื่มไม่เหมาะสมร่างกายจะพัง </span> สิ่งที่มากระตุกให้หันมารับประทานอย่างมีสติ หันมาดูแลสุขภาพ กลัวมะเร็ง กลัวอ้วน กลัวไขมันมากขึ้น เพราะคุณพ่อ (บัญชา ล่ำซำ) ที่ล่วงลับไปแล้วป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ <br />
เขาชอบกินมากเลยไอ้พวกสเต๊กเนี่ย สมัยก่อนก็ไม่เคยเข้าใจพวกนี้ ตอนหลังแม้แต่ฝรั่งก็ศึกษา โดยสถิติคนกินวัวเป็นมะเร็งมากกว่าไม่กินวัว ก็เลยกลัวเพราะว่าลูกก็ยังเล็ก แต่ไม่ได้บังคับเขา ยังเด็กอยู่อยากกินอะไรก็กินไป กว่าผมจะเลิกกินเนื้อวัวได้ตอนอายุ 39 แต่ละคนก็ต้องไปตัดสินว่าความสมดุลของตัวเองอยู่ตรงไหน...... <br />
<span style="color: magenta;"> ความเหมาะสม ความสมดุลเป็นหลักที่สำคัญในชีวิต มันทำให้ทุกอย่างไปได้เรื่อยๆ อย่างที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง..อย่างยั่งยืน ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกัน ถ้ารักษาความสมดุลได้ อายุ 59 ก็ยังไปได้ เตะอะไรยังดัง..หมายถึงเตะฟุตบอลนะ คุณปั้น เล่าหัวเราะร่าอารมณ์ดี </span> นอกจากดูแลอาหารการกิน ยังออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะเวลากลางคืนสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง <br />
เดี๋ยวนี้ ไม่เจ็บไม่ไข้ ร่างกายแข็งแรง รู้สึกสดชื่น จากสมัยหนุ่มเดี๋ยวป่วย เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอะไรเลย ไม่ต้องกินยาอะไรทั้งสิ้น อายุมากขึ้นกลับสุขภาพดีขึ้น คนอื่นรอบๆ ข้างอายุน้อยกว่าเป็นสิบปีเสียอีกที่ชอบมาป่วยใส่ผม <br />
<span style="color: blue;">ความสมดุลยังเป็นหลักที่คุณปั้นนำมาสอนลูกๆ ในการดำเนินชีวิต ซึ่งค่อนข้างเป็นคุณพ่อที่ให้อิสระการใช้ชีวิตกับลูก เปลี่ยนจากสมัยเดิมที่ตัวเองเคยโดนเข้มงวดมาจากรุ่นพ่อ </span> ค่อนข้างให้อิสระ จะไม่เข้าไปจู้จี้อะไรกับเขามาก แต่เขาต้องไปหาความสมดุลชีวิตของเขาเอง ทั้งเรื่องการเรียนหนังสือ การพักผ่อน การออกกำลัง ให้ดูความสมดุลเป็นหลัก <br />
ส่วนเคล็ดลับการคลี่คลายความทุกข์ในใจ คุณปั้นยึดหลักว่า ทำให้ดีที่สุด ตื่นเช้ามาทำให้เต็มที่ ก่อนนอนจะได้สบายใจว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว <br />
ธรรมะช่วยทำให้มีสติ สติสำคัญมาก การแก้ปัญหาโดยไม่ใช้อารมณ์จนเกินไปก็สำคัญ ปล่อยวาง คือ ปลายทางตอนจบ คือหมายถึงฉันได้ทำเต็มที่แล้ว คืนนี้ก็นอนหลับ ไม่ใช่ปล่อยวาง ว่าฉันไม่สนใจ ไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ไม่ต้องรับผิดชอบ อันนั้นต้องไปอยู่ในป่า <br />
<span style="color: #cc0000;">แต่ถ้าปล่อยวางแบบฆราวาส คือ ทำเต็มที่ดีที่สุดแล้ว ก็ไม่ไปทุกข์ร้อน จนกระทั่งนอนไม่ได้ เพราะถ้าคืนนี้นอนไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องแก้ปัญหา เพราะร่างกายจะไม่ไหว </span> คำถามว่าคิดว่าจะวางมือทางธุรกิจเมื่อไหร่ สำหรับคุณปั้นในวัย 59 คำตอบจึงชัดเจนว่า ยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะยังมีกำลังวังชา ยังทำประโยชน์ได้หลายอย่าง <br />
ขณะที่ความสุขในชีวิตของนายแบงก์ใหญ่ในเวลานี้ ไม่มีอะไรจะมีความสุขมากไปกว่าการทำหน้าที่พ่อ ดูแลจัดการให้ลูกทั้ง 3 คนซึ่งในช่วงวัยศึกษาเล่าเรียนที่สหรัฐอเมริกา โดยเรียนระดับมหาวิทยาลัย 2 คน และมัธยมศึกษา 1 คน มีการพัฒนาไปในทิศทางที่มั่นคงและเจริญก้าวหน้าในชีวิต<br />
<span style="color: blue;"> "มนุษย์มักจะพังเพราะเรื่องการกิน ถ้ากินและดื่มไม่เหมาะสมร่างกายจะพัง"--</span>จบ--<br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-57660913498856018392011-10-07T15:06:00.000+07:002011-10-07T15:06:13.849+07:00Steve Jobs speech at Stanford university<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/Tsyp7aveJ5k?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-33354981073376332442011-10-05T17:49:00.000+07:002011-10-05T17:49:06.094+07:00My Way: ยอดมรดก ยอดคำสอน ดร.เทียม โชควัฒนา<img alt="" height="200" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/04/images/news_img_412149_1.jpg" width="133" /> <span style="color: blue;">ไม่เพียงมรดกทางธุรกิจ บริษัทน้อยใหญ่กว่า 200 แห่งใน เครือสหพัฒน์ ที่ยังคงโลดแล่นเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ</span> <br />
<a name='more'></a><br /> <span style="color: magenta;">20 ปีหลังการจากไปของ ดร.เทียม โชควัฒนา ยังมีมรดกทางความคิด คำสั่งสอนจากบันทึกความทรงจำ 1,600 หน้าของนักสู้ชีวิตผู้บุกเบิกเครือสหพัฒน์ ที่ยังทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา </span> นานนับแรมปีที่ทายาทคนที่ 5 ศิรินา โชควัฒนา ปวโรฬารวิทยา ประธานกรรมการ บมจ.บูติคนิวซิตี้ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ อดตาหลับขับตานอนทำหน้าที่บรรณาธิการ อ่านบันทึกความทรงจำทั้งหมด 1,600 หน้าของผู้เป็นพ่อที่เคยเขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2514-2521 <br /> <span style="color: lime;">กว่าจะกลั่นกรอง และรวบรวมจัดทำเป็นชุดหนังสือ รำลึกคุณ..ดร.เทียม โชควัฒนา ทั้ง 10 เล่มบอกเล่าบันทึกประสบการณ์ชีวิตด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชีวิตนักสู้, การเรียนรู้, เศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจโลก, ธุรกิจ, สหพัฒน์และบริษัทในเครือ, การตลาด, การบริหารงาน, ทรัพยากรมนุษย์, การดำเนินชีวิต-สังคมเป็นสุข ตลอดจน 100 ปรัชญา ดร.เทียม โชควัฒนา </span> หนังสือชุดนี้ยังถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่ฉายภาพการเปลี่ยนผ่านของสังคม เศรษฐกิจ เหตุบ้านการเมืองในช่วงชีวิต 75 ปีของนักธุรกิจ 4 แผ่นดิน ที่มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.2459-2534 นับตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 6 ชีวิตในภาวะเศรษฐกิจก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง <br /> <span style="color: blue;">หลายคนบอกว่าได้ดิบได้ดีวันนี้เพราะคำสอนของคุณพ่อ คำสอนเหล่านี้ดิฉันจึงตั้งใจรวบรวมนำกลับมาถ่ายทอดใหม่อีกครั้ง เพื่อส่งต่อกำลังใจสู่คนรุ่นหลัง ให้รู้ว่าปัญหา คือ กำไรของชีวิต ปัญหายิ่งมาก กำไรชีวิตยิ่งเยอะ ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ </span> ความเป็นนักสู้ชีวิตที่เริ่มต้นจากเรียนหนังสือน้อย แต่ประสบความสำเร็จด้วยหลักการดำเนินชีวิตแบบคิดบวก และคุณธรรมประจำใจ ไม่ว่าจะเป็น รู้น้อยไม่เกี่ยงงาน ด้วยความเจียมตัวว่าเรียนน้อย สร้างแรงฮึดให้สู้งานหนักไม่ย่อท้อ และสนใจที่จะเรียนรู้พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา <br /> เกิดเป็นคน..ทำงานต้องมองสูง ชีวิตความเป็นอยู่..ต้องมองต่ำ ถ้ามองคนยากลำบากกว่าเรา แล้วจะรู้ว่าเราโชคดีที่สุด นอกจากไม่น้อยเนื้อต่ำใจกับชีวิตจะได้มีเมตตาช่วยเหลือคนอื่น แต่เวลาทำงานให้มองคนที่เก่งกว่า จะได้ขวนขวายพัฒนาตัวเอง <br /> <span style="color: magenta;"> ปรัชญาวิธีคิดต่างๆ เหล่านี้ นับเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ผ่านคำสอนที่ ดร.เทียม ที่ใช้รูปแบบบันทึกถึงลูกน้อง โดยเริ่มถ่ายทอดความคิดมาตั้งแต่สมัยเมื่อ 40 ปีที่แล้ว </span> คุณพ่อจะถนัดภาษาจีนมากกว่า ภาษาไทยจะเขียนไม่ค่อยถนัด เมื่อมีลูกน้องมากขึ้น จึงใช้วิธีพูดให้เลขาฯฟังแล้วเอาไปพิมพ์ ซีร็อกซ์แจกต่อๆ ไปยังลูกหลานและพนักงาน ตอนนั้นดิฉันอายุ 20 กว่า ความที่อายุน้อย ได้รับมาก็เก็บๆ ไว้ ไม่ได้สนใจ คิดว่าอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ <br /> จนกระทั่งได้ย้อนกลับมาอ่านอย่างจริงจังเมื่อตั้งใจจะทำหนังสือ หลังชีวิตผ่านอะไรมาเยอะ เจอปัญหาเยอะ เห็นโลกมาเยอะ ได้เรียนรู้ว่าการอ่านความคิดของคุณพ่อช่วยให้เราได้เกิดปัญญาที่แตกฉาน ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทำให้เราเข้าใจทุกอย่าง การรู้จักให้อภัย การเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลง <br /> <span style="background-color: lime;">คำว่า Change ซึ่งคนยุคนี้พูดถึงกันเยอะ หลายคนมักเข้าใจถึงปฏิรูปหรือปฏิวัติทีเดียวแล้วจบ แต่สำหรับคุณพ่อ คือ การคิดสร้างสรรค์อย่างไม่หยุดนิ่ง ต้องริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ตลอด เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา... </span> อีกคำที่นึกถึงตรงกับยุคนี้ หลายคนพูดถึงการเปิดเสรีอาเซียน ต่อไปจะมีเมืองจีนเข้ามาแข่ง มีคนเข้ามาคู่แข่งของคนไทยมากมาย ดิฉันจะนึกย้อนถึงคำพูดของคุณพ่อที่บอกเสมอว่า คู่แข่งไม่ใช่คู่แค้น แต่มองคู่แข่งคือเครื่องวัดมาตรฐานของเรา ทำให้เกิดการปรับปรุง การพัฒนา <br /> <span style="background-color: white; color: blue;"> อีกหนึ่งปรัชญาการทำธุรกิจที่สอนเสมอๆ คือ คำว่า เร็ว ช้า หนัก เบา หมายถึงการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม ต้องหมั่นพิจารณาอยู่เสมอว่า งานไหนทำก่อน งานไหนทีหลัง งานไหนต้องจริงจัง และงานไหนที่พอควร </span> <span style="background-color: white;"> สินค้าบางอย่างทำเร็วเกินไปก็ขายไม่ได้ ทำช้าเกินไปก็ขายไม่ออก เรื่องเล็กๆ ถ้าไปทำเอิกเกริกก็จะขาดทุน เรื่องที่ควรตั้งใจทำหากทำไม่เอาจริงก็จะไม่ประสบความสำเร็จ.. ต้องรู้จังหวะ เร็ว ช้า หนัก เบา </span> <span style="background-color: cyan;"> นอกจากการรวบรวมคำสอนผ่านบันทึกความทรงจำที่เขียนแล้ว ยังมีคำสอนต่างๆ ผ่านคำบอกเล่าของพนักงานและคนใกล้ชิด เช่น เรื่องการดำเนินชีวิตว่า หนึ่ง..ต้องรู้จักรักตัวเอง เพราะจะทำให้ใฝ่หาแต่สิ่งดีๆ มาในชีวิต สอง..ต้องรักครอบครัว เพราะสิ่งที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขที่สุดคือครอบครัว สาม..รักบริษัทหรือองค์กร และอีกหนึ่งที่คุณพ่อย้ำเสมอกับลูกน้อง คือ ให้รักประเทศชาติหรือที่เรียกว่ารักชุมชน ซึ่งหมายถึงคำว่าซีเอสอาร์ที่ใช้กันในยุคนี้ </span> <span style="color: red;"> ทั้งที่มีโอกาสเรียนหนังสือน้อย เพราะเสียสละออกมาช่วยคุณปู่ทำงาน แต่คุณพ่อเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก และเป็นนักคิด เข้าใจว่าหลายเรื่องจึงซึมซับจากการอ่าน บางอย่างได้จากการอ่านปรัชญาขงจื๊อ เล่าจื๊อ นำสิ่งที่อ่านมาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงและนำมาสอน เวลาอ่านเจออะไรดีๆ ก็จะตัดแจกคนนั้นคนนี้ให้ช่วยกันเอาไปอ่านต่อ</span> <br /> ในความทรงจำตั้งแต่เด็กๆ จะเห็นแต่ภาพคุณพ่อนั่งโต๊ะทำงาน อ่านหนังสือกับเขียนหนังสือ ท่านอ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ หัดอ่านภาษาไทยเป็นก็เพราะค่อยๆ หัดแกะไปทีละตัวจากหนังสือพิมพ์ไทย <br /> อิทธิพลเรื่องวิธีคิดบวกของทายาททุกคนในเครือสหพัฒน์ยังมาจากวิธีคิดของ ดร.เทียม <br /> <span style="background-color: lime;">ความเป็นคนคิดบวกทำให้คุณพ่อมีกำลังใจ สามารถหาปรัชญาชีวิตให้ตัวเองมีความสุขได้เสมอ เวลาเจอปัญหาก็มองว่าช่วยฝึกความอดทน ถึงจะต้องแบกน้ำตาลหนัก 100 กิโล ก็มองว่าเป็นเรื่องโชคดีที่ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงมาก คุณพ่อสามารถมองทุกอย่างเป็นบวกได้หมด ตั้งแต่เด็กจนโต คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยพูดเรื่องไม่ดีหรือว่าคนอื่นให้ลูกๆ ฟัง มีแต่จะสอนให้ได้ยินได้ฟังเฉพาะแต่เรื่องดีๆ คนดีๆ เรื่องความยุติธรรม ปลูกฝังพื้นฐานแต่ความคิดที่ดี </span> กว่าจะกลั่นกรองข้อมูลทั้งหมด 1,600 หน้า รวมทั้งคำบอกเล่าต่างๆ ออกมาเป็นหนังสือทั้ง 10 เล่ม เป็นงานที่หนักและเหนื่อยที่ต้องใช้เวลาและความตั้งใจร่วมกับทีมงานไม่น้อย แต่เมื่อทำเสร็จแล้วถือเป็นบันทึกความทรง<span style="background-color: white;">จำที่ทรงคุณค่า <br /> <span style="color: red;">หลายเรื่องถือเป็นการส่งต่อมรดกความทรงจำของตระกูลแซ่ลี้ เช่น เรื่อง โหงวฮก การลำดับญาติของตระกูลลี้ เตี่ยชูเลี้ยว ซึ่งบรรพบุรุษตั้งชื่อไว้ 15 รุ่น ผ่านอักษรจีนที่เป็นมงคลชีวิต 15 คำ โดยต้นตระกูลแรก 5 รุ่น เสียง ซือ บ้วน ฮก เฮง มีความหมายว่า ทำดี คิดดี เป็นหมื่น วาสนา และโชค ตามลำดับ </span> อีก 5 รุ่นถัดมา คือ ซุ้ง เฮ่า อิ้ว เทียน ต๊ก อันมีความหมายรวมกันว่า บริสุทธิ์ กตัญญู มีเหตุผล</span> คือ ความซื่อตรงของสวรรค์ และลูกหลานอีก 5 รุ่นถัดมา คือ เอ่ง ยิก เทียม แซ เซ้ง รวมกันมีความหมายว่า ทำสิ่งที่สมควรทุกวัน บังเกิด และเพิ่มพูนความสำเร็จ คำเหล่านี้เป็นคำพูดดีๆ ที่บรรพบุรุษนำมาจัดลำดับชื่อรุ่นในตระกูล เพื่อเป็นกุศโลบายสอนให้ลูกหลานใฝ่ดี ทำแต่สิ่งที่ดีงาม <br /> รุ่นคุณพ่อเรียกว่า ฮก คุณพ่อมีพี่น้อง 5 คน จะชอบพูดเสมอว่าพี่น้อง 5 คนก็ คือ โหงวฮก หมายถึง 5 วาสนาที่มารวมกัน คุณพ่อเป็นคนรักพี่น้อง ธุรกิจที่คุณพ่อทำมา ลูกๆ ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่คุณพ่อแบ่งให้พี่น้องเท่ากันหมด <br /> <span style="background-color: white; color: blue;"> ปรัชญาของ ดร.เทียม โชควัฒนา ยังมีอีกมากมาย แต่ปัจฉิมโอวาทสุดท้ายซึ่งถือเป็นมรดกคำสอนของตระกูล ที่มอบไว้ให้กับลูกหลาน คือ การยึดคติการดำเนินชีวิตที่ว่า ขยันอดทน ซื่อสัตย์สุจริต รักษาเครดิต ไม่สร้างศัตรู คบคนดี ไม่เอาเปรียบคน </span> ก่อนเสียชีวิตไม่นาน คุณพ่อมอบหมายให้ไปรวมพลลูกหลาน เรียกหลานๆ ทั้ง 17 คนมาทานข้าวร่วมกัน คุณพ่อกำชับให้ช่วยกันจำนะ ช่วยกันสอนลูกหลาน วิธีคิดเหล่านี้ดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่คุณพ่อได้รับการปลูกฝังต่อมาจากคุณปู่ ไม่ว่าจะเป็นความขยัน อดทน และการเป็นคนรักษาเครดิต การคบคนดี และไม่สร้างศัตรู ไม่เอาเปรียบคน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณพ่อสืบทอดความคิดมา และส่งต่อมาให้พวกเรา จากรุ่นสู่รุ่น ศิรินา บอกเช่นนั้น <br /> <span style="color: red;"> จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ปรัชญาความสุข ความสำเร็จ และดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าเหล่านี้ จึงยังเป็นมรดกคำสอนที่เหนือกาลเวลาและนำมาใช้ได้อย่างไม่ตกยุค </span>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-34507156246504298002011-10-05T17:35:00.000+07:002011-10-05T17:35:15.583+07:00โลกของนักขุดทองเยาวราช<img alt="" height="132" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/09/27/images/news_img_411298_1.jpg" width="200" /><br /> <span style="color: blue;"> กราฟราคาทองคำที่ผันผวน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงราวกับมังกรพยศสะบัดหาง แทนที่จะหวาดหวั่น กลับร้อนแรง...เร้าใจให้นักขุดทองคนแล้วคนเล่ามุ่งหน้าสู่ถนนสายทองคำ...ปรากฏการณ์ตื่นทอง 2554 เที่ยวนี้ดูจะไม่จบลงง่ายๆ </span><br />
<a name='more'></a><br /> <span style="color: red;"> เช้าวันจันทร์ 26 กันยายน 2554 </span> <span style="color: blue;">ทองดิ่งเหวตามหุ้น วันนี้เปิดตลาดร่วงลงกว่า 1,000 บาท ทองแท่งขายออกบาทละ 24,400 บาท รูปพรรณขายออก 24,800 บาท รายงานข่าวเช้าต้อนรับเปิดตลาดซื้อ-ขายทองวันแรกของสัปดาห์ ก่อนที่แนวโน้มทองคำขาลงจะฉุดราคาทองคำแท่งปิดตลาด รูดลงมาเหลือต่ำสุดที่ 23,300 บาท และขยับไปปิดตลาดที่ 24,100 บาท </span> เห็นราคาทองปรับลดลงมารวดเดียวเป็นพันก็ตกใจนะ แต่ไม่กลัวเพราะเชื่อว่ายังไงเดี๋ยวปลายปีนี้ราคาต้องขึ้นอีก เพราะเคยขึ้นไปถึง 2.7 หมื่นบาทแล้ว ถ้าราคาไม่ขึ้นก็ไม่เป็นไร เพราะเชื่อว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงที่สุด เจ๊หมวย สาวใหญ่วัยเลข 4 เล่าอย่างมั่นใจ ทันทีที่สัญญาณราคาทองดิ่งเหวมาอยู่ที่บาทละ 2.4 หมื่นบาท เจ๊หมวยออกจากบ้านมารอ ก่อนร้านทองจะเปิดกว่า 1 ชั่วโมง หวังจองคิวซื้อทองแต่เนิ่นๆ แต่ก็ยังได้คิวเป็นลำดับที่ 80 เพราะมีคนไวกว่า <br /> ด้วยพื้นฐานความเชื่อที่ว่าราคาทองมีแต่จะปรับสูงขึ้นในระยะยาว วันไหนที่ราคาทองดิ่งลงหนักๆ หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วันนั้นคือวันที่ร้านทองเยาวราชแทบจะลุกเป็นไฟ เนืองแน่นไปทั้งนักลงทุนหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่เบียดเสียดรอจังหวะซื้อทองราคาถูก ตามมาด้วยปรากฎการณ์สวิงขึ้นๆลงๆ ของราคาทองรายวันที่ทำเอานักเก็งกำไรลุ้นกันจนตัวเกร็ง <br /> <span style="color: lime;"> ขณะที่สองเดือนที่ผ่านมา ราคาทองผันผวนมาก วันหนึ่งเคยขึ้นลงสูงสุด 22 รอบ ทุกๆ การเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคาทอง มีทั้งคนสมหวังและผิดหวัง มีทั้งคนที่ฟันกำไรและเจ็บตัว </span> ราคาทองคำที่ปรับตัวลงมาแรง ผมยังปรับตัวไม่ถูกเลย ยอมรับว่ามึนตึ้บ กลัวว่าจะเป็นฟองสบู่ สัปดาห์ที่แล้วยังไม่คิดว่าทองจะร่วงเร็วอย่างนี้ วันนี้ ผมเลยตัดใจขายทองออกก่อน 300 บาท(น้ำหนักทอง)ป้องกันความเสี่ยง ขายขาดทุนไปร่วม 4 แสนบาท เอาเงินสดไว้ก่อนดีกว่า รอจังหวะราคาอ่อนลงกว่านี้แล้วค่อยช้อนซื้อใหม่ อีกมุมหนึ่งของร้านทองจินฮั้วเฮง เยาวราช สมบุญ บุญส่ง นักลงทุนทองคำตัวยง กำลังยืนรอคิวขายทองคำออก สีหน้าเคร่งเครียด คนละอารมณ์กับเช้าวันแรกของสัปดาห์ก่อน <br /> ก่อนจะยืดอกบอกอย่างแมนๆ ว่าทำใจได้กับเงินแสนที่หายวับไปกับมูลค่าทองภายในชั่วเวลาไม่กี่วัน เพราะถือว่ากำไรที่เคยได้มาก็คืนไปหมด เดี๋ยวค่อยกลับไปเล่นใหม่ <br /> <span style="color: blue;">ผมเองยังมีความเชื่อว่า ต้นปีหน้า ราคาทองจะขึ้นไป 2.7 หมื่นบาท ถ้ามีจังหวะผมก็ยังซื้อทองเก็บไว้ ช่วงนี้ยอมรับว่าปั่นป่วนมาก..แต่เดี๋ยวทองก็ขึ้น เชื่อผมเถอะ...เกมนี้ยังอีกยาวไกลสำหรับชายชื่อสมบุญ </span> หนึ่งสัปดาห์ก่อนนั้น.. <br /> เปิดตลาดซื้อ-ขายทองวันแรกของสัปดาห์ วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2554 ราคาทองพุ่งขึ้น 26,250 บาท ราคาเพิ่มสูงจากวันศุกร์ที่แล้ว 550 บาท เป็นตามความคาดหมายของนักลงทุนหลายคนที่เข้าถูกจังหวะ รวมถึงสมบุญ เจ้าของแผงขายลอตเตอรี่ตลาดน้ำดอนหวายที่หันมาสวมบทบาทนักลงทุนทองคำ วิ่งเข้าๆออกๆร้านทอง ปีนี้เป็นปีที่ 9 แล้ว <br /> ก่อนจะตัดสินใจมานั่งเกาะติดซื้อขายเก็งกำไรทองคำที่ร้านประจำที่เยาวราชทุกวัน ตั้งแต่เช้ายันเย็น เว้นเสาร์อาทิตย์ที่ไม่มีการซื้อขายทองคำแท่ง ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา <br /> ผมเริ่มต้นจากซื้อทองเพื่อเก็บสะสม เพราะผลตอบแทนดีกว่าฝากแบงก์ ซึ่งถัวเฉลี่ยได้ผลตอบแทน 2-3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนทองคำ ปีไหนที่ราคาไม่ค่อยเคลื่อนไหว ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าหวือหวามากๆ ราคาผันผวนอย่างนี้ผลตอบแทนจะสูงถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ เคยเห็นทองปรับฐานราคามาเรื่อยตั้งแต่บาทละ 4 พัน กลายมาเป็นบาทละหมื่นกว่า จนเดี๋ยวนี้เห็นราคาบาทละ 2.5-2.6 หมื่น โอกาสที่ทองจะปรับฐานราคาต่ำกว่า 2 หมื่นผมว่าคงเป็นไปไม่ได้หรอก <br /> <span style="color: red;">สมัยที่เริ่มซื้อทองบาทละ 1.2 หมื่น แฟนผมบอกว่าเดี๋ยวจะมีทองบาทละ 2 หมื่น ผมบอกจะบ้าหรือเปล่า แล้วก็มีจริงๆ ทุกวันนี้แฟนผมซื้อไว้ 450 บาทเก็บไว้ไม่ขายเลย เขายังมั่นใจว่าต่อไปจะมีบาทละ 3 หมื่น เพราะมองว่าเศรษฐกิจยุโรปกับอเมริกาไม่ค่อยดี ยิ่งถ้าเกิดมีสงคราม ราคาทองก็จะขึ้นแรงมาก...</span> <br /> ปัจจุบัน สมบุญแบ่งพอร์ตการลงทุนครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินเพื่อมาลงทุนเก็งกำไรในช่วงจังหวะราคาทองผันผวน <br /> เงินออมส่วนหนึ่งเก็บฝากไว้ให้ลูกนิดหน่อย อีกส่วนหนึ่งเป็นทองที่แฟนผมสะสมเก็บอย่างเดียว อีกส่วนหนึ่งผมเอามาลงทุนตอนนี้ประมาณ 300 บาท ใช้จังหวะซื้อไวขายไว เช่น สมมติวันนี้ตั้งใจซื้อขาย 300 บาท ถ้าราคาทองลงมาก็ซื้อไป 150 บาท พรุ่งนี้ถ้าทองขึ้นเรามีขาย 150 บาท แต่ถ้าราคาทองยังลงไปอีก ก็ยังมีตังค์ช้อนซื้อได้อีก คือเล่นได้สองทาง จะไม่ซื้อขาเดียว คือ ถ้าทองขึ้นเราก็มีทองขาย ถ้าทองลงเราก็มีเงินอีกส่วนไว้ช้อนซื้อต่อ... <br /> <span style="color: magenta;"> อาชีพเดิมแผงลอตเตอรี่ ผมเลยปล่อยให้แฟนเป็นคนทำ เพราะว่าเรามาทำอย่างนี้ผลตอบแทนที่ออกมาดีกว่า ถ้าราคาทองยังขึ้นลงผันผวนอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ การลงทุนทองก็น่าจะถือเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่สามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ </span> เสน่ห์ของการมานั่งเฝ้าร้านทอง สมบุญบอกว่า คือความสนุกสนาน ได้พบปะเพื่อนฝูง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน <br /> เท่าที่เจอกันบ่อยๆในก๊วน มีประมาณ 30 คน มีทั้งป้า อาซิ้ม อาซ้อ มาจากหลากหลายอาชีพ บางคนทำธุรกิจร้านอาหาร ร้านวัสดุก่อสร้าง มีธุรกิจส่วนตัวก็จะปิดร้านหันมาเล่นทองคำก่อน ส่วนใหญ่ทุกคนมีอาชีพรองรับกันอยู่แล้ว <br /> อุปกรณ์แทบเล็ตอย่าง ไอแพด และซัมซุงกาแลกซี่แท็บ กลายเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตที่บรรดานักลงทุนไม่ว่าจะเป็นวัยกลางคน หรือสูงวัย เห็นพกพาไว้คอยอัพเดทความเคลื่อนไหวราคาทองคำกันแบบเรียลไทม์ <br /> <span style="background-color: white; color: blue;"> ผมว่าทองจะเริ่มเหมือนหุ้นไปทุกวันแล้ว เทียบกับสมัยก่อนทองไม่ได้ผันผวนขนาดนี้ บางอาทิตย์ปรับ 50 บาท บางอาทิตย์ทรงๆนิ่งๆ ก็ยังมี แต่ช่วง 3 เดือนกว่าๆมานี้ ราคาทองสวิงมากที่สุด ขึ้นแรงลงแรง บางทีราคาขึ้น 500-600 บาท </span> คนเล่นทองต้องเงินเย็นจริงๆ ถ้าไปกู้หนี้ยืมสินมาทำ บางทีทองลงแรงจะมีโอกาสขาดทุนได้สูง แต่ถ้าคนเงินเย็น ถึงทองจะลงไป เก็บไว้เดี๋ยวมันก็อาจจะมีโอกาสทำราคานิวไฮขึ้นมาใหม่ เมื่อก่อนส่วนต่างราคาซื้อขายทองจะอยู่ที่ 100 บาท แต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 50 บาท ตั้งแต่กลางเดือนส.ค. เพราะร้านทองแข่งกันเอง มีผลให้คนที่เข้ามาเล่นทองช่วงสั้น มีโอกาสทำกำไรได้สูง จากแต่ก่อนต้องรอราคาปรับ 100 บาทถึงจะได้ทุนคืน เดี๋ยวนี้ ทองปรับแค่ 4-5 เหรียญก็ได้ทุนคืนแล้ว ขึ้น 10 เหรียญก็ได้กำไรทันที <br /> <span style="background-color: magenta;">ราคาทองผันผวนขนาดนี้ กลัวไหมกับฟองสบู่ทองคำ? </span> ผมเคยคิดเหมือนกัน ช่วงผันผวนแบบนี้ผมเลยใช้วิธีเล่นเข้าไวออกไว จะซื้อเช้า ขายเที่ยง ซื้อเที่ยง ขายบ่าย ซื้อไว ขายไว กำไรบาทละร้อย บาทละห้าสิบก็เอาแล้ว แต่ซื้อปริมาณมากหน่อย บางทีดูแล้วท่าไม่ดีแน่ ว่าเราไม่ถูกจังหวะ ก็ต้องยอมตัดขายขาดทุน ไปให้ไวเลย หมื่นสองหมื่นต้องยอม มีพลาดไปหลายทีเหมือนกัน แต่ถ้าดูแล้วไม่ดี เราต้องยอมตัดขายขาดทุนเลย <br /> บรรดานักลงทุนคนที่มาลงทุนทองตอนนี้ ผมว่าไม่ใช่จะมีแต่คนรวยเสมอไป คนที่ซื้อสะสมตั้งแต่ 5 บาท 10 บาทก็มี เอาเป็นว่ามีตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงมหาเศรษฐีที่โทรศัพท์มาสั่งซื้อกันเป็นตัน โทรสั่งตรงกับร้าน อย่างเราเรียกว่านิดหน่อย <br /> <span style="color: red;">อาชีพใหม่คนมีตังค์</span> <br /> บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่มาดเถ้าแก่เนี้ย กรูเข้ามาในลิฟท์อย่างคึกคัก เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้น<br /> "ไม่ต้องทำงานทำการอย่างอื่นแล้ว มาเฝ้าทองกันทุกวันนี่แหละ" <br /> บริเวณชั้น 3 และชั้น 4 ห้องค้าทองคำแท่งของสำนักงานฮั่วเซ่งเฮง เยาวราช กลายเป็นแหล่งชุมนุมของนักลงทุนซื้อขายทองทั้งคนหนุ่มคนสาว ไปจนถึงรุ่นใหญ่อย่างอากง อาม่าที่มารอรับบัตรคิวซื้อขายทองคำแท่งตลอดทั้งวัน หลายคนคอยโทรศัพท์รายงานความเคลื่อนไหวราคายังปลายสาย <br /> <span style="color: lime;"> ชิตานันต์ พรภักดีภูทิพย์ แม่บ้านวัย 36 ปี เป็นคนหนึ่งที่ใช้เวลาว่างระหว่างรอรับลูกที่โรงเรียน มานั่งลงทุนที่ห้องค้าทองที่นี่ พร้อมอุปกรณ์แท็บเล็ตที่หมั่นหยิบขึ้นมาเช็คราคาความเคลื่อนไหวทองคำเป็นระยะ </span> เมื่อก่อนไม่ได้มานั่งเฝ้าเอง เพราะโทรจองกับแถวบ้านได้ แต่ช่วงหลังราคาทองผันผวนมากๆ เขาเลยไม่รับล็อคราคาให้แล้ว เราเลยต้องมานั่งเฝ้าเอง เริ่มลงทุนมานานแล้วตั้งแต่ทองยังบาทละ 7 พัน สมัยก่อนซื้อขายทองคำไม่ถี่ขนาดนี้ บางครั้งสองอาทิตย์ บางทีเดือนกว่าๆ ถึงจะมีจังหวะซื้อขาย เพิ่งจะไม่กี่เดือนมานี้ที่ราคาทองแกว่งตัวเยอะๆ 400-500 บาทในวันเดียว <br /> <span style="color: magenta;"> มานั่งทุกวัน แต่บางวันก็ไม่ได้ซื้อ บางทีอยากเข้าราคานี้ แต่ไม่ได้คิว ติดที่ปริมาณคน ระหว่างที่รอคิวถ้าราคาทองปรับขึ้นลง เราก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะรอต่อไปหรือจะซื้อจะขายเลยดีไหม ไม่เหมือนแต่ก่อนที่อยากจะซื้อจะขายก็ทำได้เลย </span> เหตุผลที่มาซื้อขายทองที่นี่ คุณแม่บ้านเผยว่า สมัยก่อนซื้อทองแล้วได้ทองกลับทันที แต่ตอนนี้ซื้อขายกันด้วยกระดาษ ฉะนั้น คนจะต้องมองกันที่ความน่าเชื่อถือของห้างทอง ประกอบกับถ้าไปซื้อร้านทองนอกเยาวราช ร้านทั่วไปมักจะบวกส่วนต่างเพิ่มขึ้นอีก 200-300 บาท <br /> <span style="color: blue;"> ส่งลูกเสร็จก็มาเฝ้าที่ห้องซื้อขายทองได้ร่วมเดือนแล้ว จะสลับกันระหว่างสาขาเยาวราชกับซีคอน เพราะที่เยาวราชเปิด 9.30 น.แต่ที่ซีคอนเปิด 11 โมง บางทีราคาทองวิ่งไปแล้ว ดังนั้นถ้าเราอยากจะได้ราคาทองช่วงเช้าก็ต้องมาที่เยาวราช </span> บางทีมารับบัตรคิวตั้งแต่ 9.30 น. แต่กว่าจะถึงคิวเรา บ่ายสอง ยิ่งวันไหนความต้องการในการซื้อขายมากเท่าไหร่ คิวก็ยิ่งรอนานมากขึ้นเท่านั้น ถ้าวันไหนที่ทองลงมากๆ คนก็ยิ่งเยอะ <br /> แม่บ้านนักลงทุนเล่าอมยิ้มว่า บรรยากาศแย่งคิวกันตอนเช้าก่อนเปิดตลาด บางวันคนแน่นจนต้องระวังอาม่าจะตกบันได <br /> <span style="color: red;"> เวลาจะซื้อขายต้องโทรปรึกษาตัดสินใจร่วมกับสามี เขาทำงานประจำ เป็นพนักงานออฟฟิศ จะศึกษาข้อมูล อ่านบทวิเคราะห์ของกูรูว่าทิศทางจะเป็นยังไง </span> เธอแจงให้ฟังคร่าวว่า ทุกวันนี้ แบ่งเงินสำหรับใช้จ่าย 30 เปอร์เซ็นต์ เงินออม 20 เปอร์เซ็นต์ ลงทุนหุ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ลงทุนทองคำ 20 เปอร์เซ็นต์ และอีก 10 เปอร์เซ็นต์ สำรองไว้ใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน <br /> ทองเป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไร เราไม่ประมาท ฟองสบู่ทองคำยังเป็นเรื่องที่เรากังวลแน่นอน เพราะราคาทองขึ้นไปเร็วมากภายในระยะเวลาอันสั้น พยายามป้องกันความเสี่ยงโดยมีลิมิตในการลงทุน สูงสุด 20 บาทบ้าง 50 บาทบ้าง <br /> ชิตานันท์ยอมรับว่าในช่วงราคาทองผันผวน การลงทุนทองคำถือเป็นอาชีพใหม่ บางคนถึงขนาดปิดร้านไม่ขายของเพื่อมาเฝ้าทอง เพราะหาเงินพันสองพันกับทองในหนึ่งวันไม่ใช่เรื่องยาก <br /> <span style="background-color: lime;"> </span><span style="background-color: white; color: magenta;"> ถ้าซื้อทองลงทุนสัก 20 บาท ได้ส่วนต่างร้อยหนึ่ง ก็ได้แล้วกำไรส 2 พัน ถ้าช่วงไหนราคาหวือหวา ราคาเปลี่ยนที ในห้องก็จะเฮกัน มีทั้งคนสมหวัง และผิดหวัง สัปดาห์ก่อนแทบจะต้องดูกันทุกๆ นาที เปลี่ยนยี่สิบกว่าครั้งในหนึ่งวัน ที่ผ่านมาเคยทำกำไรสูงสุดระหว่างนั่งเฝ้าทอง 2.5 หมื่นบาท ภายในหนึ่งวัน ตั้งต้นที่ทอง 50 บาทซื้อขายภายในวันเดียว บางคนที่ยืนข้างๆ เคยได้วันเดียว 5 แสน แต่เขาลงทุนหลายสิบล้าน </span> เรื่องเจ๊งจากทอง ไม่มีนะคะ เพราะว่าเขาจะใช้คำว่า ติดดอยกัน มองในแง่สบายใจว่า เรายังมีทองไว้ให้อุ่นใจ จะขาดทุนก็ต่อเมื่อเราขายมันไป ยังมีความเชื่อว่าถึงไม่ทำกำไร ก็เก็บไว้ให้ลูกชายได้ไว้หมั้นสาวค่ะ <br /> ด้าน ธนรัชต์ พสวงส์ ทายาทรุ่น 3 ทองฮั่วเซ่งเฮง เล่าว่า ที่ผ่านมาจะเห็นปรากฎการณ์ตื่นทองที่นักลงทุนมานั่งรอในห้องค้าเนืองแน่น หรือต่อแถวล้นออกไปถึงถนน แค่ช่วงสั้นๆ 3-4 วันก็จบ <br /> <span style="background-color: white; color: blue;"> แต่รอบนี้ยังคึกคักต่อเนื่อง ผ่านมา 2 เดือนแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะนิ่ง เนื่องจากราคาทองคำที่มีความผันผวนสูง เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง บางวันกราฟราคาเป็นตัวดับเบิ้ลยู บางวันเป็นตัวเอ็ม เลยเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาทำกำไรได้มากขึ้น สูงทั้งในแง่ผลตอบแทนและความผันผวน</span><span style="background-color: blue;"> </span> ลูกค้าหลายคนเลยเปลี่ยนวิธีการลงทุน มานั่งรออยู่ที่นี่ ในห้องค้าทองคำแท่งจะเห็นผู้ใหญ่สูงอายุถือไอแพดกันหลายคน เพื่อติดตามข้อมูลการลงทุน การมานั่งซื้อขายทองที่ห้องค้า ผมคิดว่ามันเป็นอรรถรสอย่างหนึ่งของนักลงทุน คล้ายๆ กับสภากาแฟ อารมณ์คล้ายๆ ห้องเทรดหุ้น เวลาทองขึ้นเขาก็เฮกัน เวลาทองลงเขาก็โห่บ้างก็มี <br /> <span style="color: red;"> กลุ่มลูกค้านักลงทุนทองคำมีหลากหลาย ตั้งแต่พ่อค้าแม่ค้าไปจนถึงนักธุรกิจ นักการเมือง ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความรู้ด้านการลงทุน และมีทุนทรัพย์ ลูกค้ารายใหญ่ระดับเศรษฐีเงินหนาบางคน สั่งซื้อทองคำครั้งละหลายร้อยกิโลกรัม แต่ละวันมีเม็ดเงินสะพัดบนถนนสายทองคำหลายพันล้านบาท </span> ปรากฎการณ์ตื่นทองที่ต่อเนื่องติดต่อมาตลอด 2 เดือน ทำให้ร้านทองต้องปรับตัวขนานใหญ่ จากเดิมที่จุดซื้อขายทั้ง 5 สาขา เคยมีสถิติลูกค้า 1,000 คิว เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 5,000 คิว <br /> สาขาซีคอน เราแจกคิวก่อนเปิดร้าน 700 คิว หลังหมดคิวแล้วยังต้องเคลียร์งานกันต่อถึงเที่ยงคืน ปริมาณซื้อที่มากขึ้นทำให้ต้องรอ 2 อาทิตย์ถึงจะได้รับทอง กำลังการผลิตทุกอย่างเพิ่มหมด เพิ่มเครื่องจักร เพิ่มพนักงานขึ้นอีก 100 กว่าคนภายในเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา บางวันเครื่องแฟกซ์จะเสียไปพร้อมๆ กับเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องนับเงินที่พังพร้อมๆ กัน <br /> <span style="color: blue;">ธนรัชต์ คาดการณ์ว่า แนวโน้มราคาทองคำผันผวนน่าจะยังต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีนี้ โดยหลังจากการประชุมเฟดแล้ว ยังมีเทศกาลปีใหม่ของอินเดียทำให้มีการจับจ่ายซื้อทองมากขึ้น รวมถึงการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งมอบสินค้าปลายปี ซึ่งจะส่งผลผลักดันราคาทองให้เคลื่อนไหว </span> ขณะที่ความเชื่อมั่นว่าการลงทุนทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ยังเป็นกลไกสำคัญที่ผลักดันให้ทองคำยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกอุ่นใจของคนมีเงินนกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-85992056321069036402011-10-05T17:23:00.000+07:002011-10-05T17:28:17.613+07:00ยิ้มผ่านมรสุม วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ<br />
<br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-5tj1Rejl68w/Toww6vjKtNI/AAAAAAAAACs/0PVoOFYAvz8/s1600/%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" kca="true" src="http://4.bp.blogspot.com/-5tj1Rejl68w/Toww6vjKtNI/AAAAAAAAACs/0PVoOFYAvz8/s1600/%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A1.jpg" /></a></div>
<span style="color: red;">กว่าจะโล่งใจยิ้มได้อย่างวันนี้ บางบทบางตอนของละครชีวิตจริง วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ เคยทั้งยิ้มสู้ ยิ้มทั้งน้ำตา ผ่าน 2 มรสุมอันหนักหน่วงทั้งในฐานะทายาทสี TOA และคุณพ่อของลูกชายแฝดสี่ที่มีครอบครัวเป็นเดิมพัน </span></div>
<a name='more'></a><br />
ความรู้สึกตอนนั้นที่ยืนอยู่หน้าแบงก์ ถ้าเปิดประตูบานนี้เข้าไปแล้วผมชนะออกมา เราอยู่รอดได้อีกวัน แต่ถ้าแพ้ออกมาหมายถึงเราเสียทั้งหมด เสียบริษัท แม้กระทั่งบ้านก็อาจไม่มีที่จะอยู่ ต้องหาเงินทั้งหมดมาใช้หนี้ ทายาทคนโตของ ประจักษ์-ละออ ตั้งคารวคุณ เจ้าของอาณาจักรสี TOA จำได้ไม่เคยลืมถึงเหตุการณ์ช่วงชีวิตหนักๆ เมื่อ 14 ปีก่อนสมัยวิกฤติลอยตัวค่าเงินบาทปี 2540 ยุคที่หลายธุรกิจต้องสูญเสียความเป็นเจ้าของ ถูกเทคโอเว่อร์ ปิดตำนานเจ้าสัวเยสเตอร์เดย์ <br />
<span style="color: blue;">วนรัชต์ เล่าว่า ยุคนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนช่วงรอยต่อที่เจเนเรชั่นรุ่นลูกหลายคนต้องเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจเร็วขึ้น ท่ามกลางสภาพหมดแรง หมดใจของบรรดานักธุรกิจรุ่นพ่อที่เคยสร้างเนื้อสร้างตัวจากศูนย์ เมื่อต้องมาเห็นความสำเร็จที่ลงแรงมาทั้งชีวิตล้มครืนต่อหน้าต่อตา </span> ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ผมเรียนต่ออยู่ที่อเมริกา คุณแม่โทรไปตามบอกว่ากลับมาจัดการหน่อย <br />
มูลหนี้ 2 หมื่นล้าน รั้งอันดับลูกหนี้รายใหญ่ระดับประเทศ ความหวังของครอบครั พนักงานอีกหลายชีวิต ธุรกิจทั้งหมดในเครือ เป็นภาระอันหนักอึ้งที่ทายาทหนุ่มวัย 20 ต้นๆ ต้องแบกไว้บนบ่า ทันทีที่กลับมาเมืองไทย <br />
ตอนนั้นผมเดินยิ้มทั้งวันเพื่อให้พนักงานเห็นว่าเรายังไหว และให้ครอบครัวสบายใจว่าเรารับได้ แต่ถึงจะยิ้มยังไงทันทีที่นั่งลงตะคริวกิน กลางคืนนอนตะคริวก็กินจนแทบจะชัก เพราะแบกรับความเครียดไว้ทั้งหมด <br />
<span style="color: red;">ผมนอนร้องไห้ ไม่ใช่เพราะกลัวเจ๊ง แต่เพราะเราไม่มีเงินเดือนจะจ่าย จากพนักงาน 2 พันกว่าคนจำเป็นต้องลดเหลือพันกว่าคน แม้แต่พนักงานฝ่ายบุคคลยังขอลาออกเพราะแบกรับไม่ไหวที่ต้องขอให้คนลาออก ผมบอกไม่เป็นไรผมจัดการเอง แต่ในใจนอนน้ำตาไหลอยู่หลายวัน </span> ช่วงนั้นหลายธุรกิจถึงผ่านจะพ้นวิกฤติมาได้ แต่ก็ต้องสูญเสียความเป็นเจ้าของ แต่สำหรับทีโอเอ ยังคงรักษาความเป็นเจ้าของธุรกิจของตระกูลตั้งคารวคุณไว้ได้เหนียวแน่น 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นความภูมิใจของคนหนุ่มที่ต้องวิ่งรอกเจรจากับแบงก์เจ้าหนี้หลายราย <br />
<span style="color: lime;"> กว่าจะพ้นมาได้เขาเล่าสั้นๆว่า ยิ่งกว่าเลือดตาแทบกระเด็น โดยได้รับโอกาสจากแบงก์ไทยพาณิชย์ช่วยต่อสายป่านธุรกิจ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการประนอมหนี้ ค่อยๆจัดการสางปัญหา จนฝ่าพ้นมรสุม กลับมาแข็งแกร่งเป็นธุรกิจที่มีรายได้หมื่นล้านได้ถึงวันนี้ เพราะหัวใจไม่ยอมแพ้ และกำลังใจที่ให้กับตัวเอง </span> จบจากมรสุมธุรกิจ ชีวิตที่เคยคิดว่าจะลงตัวหายเหนื่อย กลับมีมรสุมลูกใหม่เข้ามาท้าทาย ในบทบาทความเป็นพ่อและสามี เมื่อภรรยา พญ. ปิยะชนก ตั้งท้องลูกชายแฝด 4 ภูริ-ภีม-ภาม-ภัทร ตั้งคารวคุณ ซึ่งไม่ได้เกิดจากทำกิ๊ฟ แต่เพราะครอบครัวฝ่ายภรรยามีพันธุกรรมฝาแฝดเยอะ <br />
ตอนแรกแค่รู้ว่าเป็นแฝด 3 ก็อึ้งแล้ว ภรรยาผมตกใจมากเพราะเขาเป็นหมอ รู้ดีถึงความเสี่ยง ต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร มารู้อีกทีหลังว่าแฝด 4 ก็ไม่ทันแล้ว ต้องสู้อย่างเดียว<br />
<span style="color: blue;"> 2 ปีแรกแทบจะไม่ได้ทำงานเลย เลี้ยงลูกอย่างเดียว เพราะฝาแฝดแต่ละคนตัวเกิดมาตัวนิดเดียว คนเล็กที่สุด 800 กรัม คนโตที่สุดน้ำหนัก 1 กิโล หัวอกพ่อรู้ดีว่าความเสี่ยงคืออะไร ทุกวันเขาต้องนอนบนพื้น เพื่อเฝ้าลูก 4 คนบนเตียง ดูแลการให้นมให้อาหารที่ต้องชั่งตวงวัดเองทุกมื้อ เพราะไม่กล้าไว้ใจคนอื่น คอยกระตุ้นพัฒนาการลูกน้อย จน 2 ปีผ่านไปถึงจะโล่งอกเมื่อคุณหมอรับรองว่าเด็กๆทุกคนแข็งแรงปลอดภัย </span> ปลายปีนี้แฝด 4 วัยซน ภูริ-ภีม-ภาม-ภัทร จะอายุครบ 6 ขวบแล้วเป็นขวัญใจของทุกคนในครอบครัว หลังผ่านบทชีวิตหนักๆ 2 ครั้งใหญ่ๆ ปัจจุบัน วนรัชต์เข้ามารับไม้ต่อเป็นผู้นำธุรกิจของครอบครัวเต็มตัว ควบคู่กับบทบาทประธานมูลนิธิประจักษ์ -ละออ ตั้งคารวคุณ เข้ามาช่วยคุณพ่อคุณแม่สืบทอดเจตนารมณ์และแนวคิดในการทำงานเพื่อสังคม มอบทุนช่วยเหลือและการสร้างโอกาสทางศึกษา แก่เด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนตามโรงเรียนต่างๆในชนบท เริ่มตั้งแต่ปี 2550 <br />
<span style="color: blue;"> </span><span style="color: red;">มูลนิธิฯนี้เริ่มจากความตั้งใจของคุณพ่อ เขาพูดเสมอว่าแผ่นดินนี้ให้โอกาสเขาทำมาหากิน เมื่อมีโอกาสก็อยากตอบแทนสังคม จริงๆเราเริ่มงานด้านสังคมตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อน แต่ตอนนั้นยังเป็นรูปแบบบริษัท ซึ่งมีข้อจำกัดทำได้ไม่เต็มที่ สุดท้ายเราเลยคิดว่าถ้าจะทำทั้งที แทนที่จะให้ปลา สอนให้เขาหาปลาเองดีกว่า เลยหันมามามุ่งเน้นช่วยเหลือด้านการศึกษา และตั้งมูลนิธิขึ้นมา โดยตรง มอบทุนการศึกษาต่อเนื่องไปแล้ว 300 กว่าทุน </span> ล่าสุด เจ้าของอาณาจักรธุรกิจสีหมื่นล้าน ประจักษ์-ละออ ตั้งคารวคุณ ลดบทบาทออกมาเป็นที่ปรึกษา เปิดทางให้รุ่นลูกเข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจตระกูลอย่างเต็มตัว นำโดยบุตรชายคนโต เอ-วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ รั้งบทบาทประธานกรรมการกลุ่มบริษัททีโอเอ โดยมี โอ-จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ บุตรชายคนที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสีทาอาคารและเคมีภัณฑ์ และบุตรชายคนที่ 3 อาร์ต-ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสีอุตสาหกรรมและสีรถยนต์ ส่วนบุตรสาวคนสุดท้อง อุ้มะ บุศทรี หวั่งหลี รับผิดชอบบัญชี-การเงิน และต่างประเทศ <br />
นอกเหนือจากธุรกิจสีแล้ว ธุรกิจในเครือของครอบครัวยังขยายสู่ธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ITOA ออโตเซลส์ เป็นดีลเลอร์รถยนต์ซูซูกิ บริษัทเชอร์วูด ทำสีทาไม้ รวมไปถึงโรงงานน้ำตาลเอราวัณที่หนองบัวลำภู <br />
วนรัชต์ เล่าถึงวิธีการปลูกฝังให้คลุกคลีกับธุรกิจซึ่งคุณพ่อเริ่มหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก พาไปเยี่ยมลูกค้า เยี่ยมร้านค้า ให้เรียกผู้ใหญ่ทุกคนเป็นอาเจ็ก อาแปะ นับถือลูกค้าเหมือนญาติ พอโตขึ้นเข้ามหาวิทยาลัย ก็ต้องบินไปช่วยคุณพ่อหาจอยท์เวนเจอร์ธุรกิจที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่ยังเรียนปีหนึ่ง คณะบัญชี จุฬาฯ <br />
<span style="color: red;"> นั่นเป็นวีธีการสอนการทำธุรกิจที่เจ้าวงการสีสอนให้ลูกไม้ใต้ต้นซึมซับเรียนรู้เองจากประสบการณ์ทำงานจริงตั้งแต่เด็กจนโต ผ่านบททดสอบชีวิต เรียนรู้ผ่านวิกฤติและมรสุม.จนกระทั่งก้าวเข้ามาสืบทอดเป็นผู้นำธุรกิจรุ่นต่อไปของครอบครัวในที่สุด</span>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-28799386086660017652011-10-03T20:06:00.000+07:002011-10-03T20:06:00.732+07:00คืนรอยยิ้มชุมชนร้อยปี..รังสิตคลอง 3 <span style="color: magenta;">ถึงแม้ ท่าข้าว ที่ตลาดเก่าคลอง 3 ริมคลองรังสิตประยูรศักดิ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จะหลงเหลือแค่เงาอดีตของย่านค้าข้าวโบราณที่หายไปพร้อมความเจริญที่ขยายสู่ชานเมือง</span><span style="color: blue;"> และพื้นที่นาที่เปลี่ยนไปเป็นโรงงานและหมู่บ้านจัดสรร แต่มรดกประเพณีวัฒนธรรมไทย-จีน จิตวิญญาณของผู้คนในชุมชนย่านเก่าที่นี่ไม่ได้หมดลมหายใจตามไปด้วย ผ่านภารกิจสามัคคีรวมพลังของคนรุ่นใหม่หัวใจอาสาพร้อมเหล่าผู้อาวุโสในชุมชนที่ช่วยกันคืนรอยยิ้มริมคลองแห่งนี้ให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง</span> <br />
<a name='more'></a><br />
จากก้าวแรกของโปรเจคเล็กๆ ด้วยเงินทุนเริ่มต้น 3 หมื่นบาทที่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี (คลองหก) บีม-ปิยะดา จิตรชาตรี และเพื่อนๆ ที่ช่วยกันระดมไอเดียนำเสนอโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ พร้อมแนวทางสืบสานวัฒนธรรมประเพณีในชุมชนผู้สูงอายุ คลอง 3 รังสิตประยูรศักดิ์ (ชุมชน 1 ศตวรรษ) จนคว้าทุนสนับสนุนจากโครงการ Red Bull U Spirit กระทั่งกลายเป็นชุมชนนำร่องแห่งแรกที่ สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา หัวเรือใหญ่ เรดบลูสปิริต สนใจเข้ามาช่วยต่อยอดสู่ โครงการ รอยยิ้มริมคลอง โครงการเพื่อสร้างสุขภาวะและปรับปรุงสภาพแวดล้อมของผู้สูงอายุในชุมชน อีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ของสังคมไทยซึ่งก้าวเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging Society พร้อมจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว <br />
<span style="color: lime;">ความพร้อมในการรับมือสังคมผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในสังคมเมือง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก สภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต การสร้างกิจกรรมและการรวมกลุ่มพบปะของผู้สูงอายุ เพื่อไม่ให้รู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว รวมถึงการลดช่องว่างวัยในสังคม การถ่ายทอดภูมิปัญญาที่มีค่าจากรุ่นสู่รุ่น เป็นประเด็นสังคมอีกด้านที่เรดบลูสปิริตให้ความสนใจริเริ่มโครงการใหม่ในปีนี้ ภายใต้โครงการใหญ่เมืองมีน้ำใจที่อยากหันมาขยายการทำกิจกรรมเติมเต็มช่องว่างสังคมเมืองนอกเหนือการออกพื้นที่ต่างจังหวัด โดยร่วมกับทีมสถาปนิกชุมชนกลุ่ม openspace ลงพื้นที่ร่วมทำงานกับชุมชนนานร่วมปี ก่อนจะถึงวันดีเดย์ ระดมทีมอาสาสมัครกว่า 50 ชีวิต ลงพื้นที่ช่วยกันลงแรงแข็งขันสร้างชุมชนในฝัน </span> หลังจากการลงพื้นที่เราพบว่าผู้คนที่นี่มีใจอาสาสูงมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุในชุมชนที่ให้ความตื่นตัวอยากจะร่วมทำโครงการเพื่อปรับปรุงชุมชนให้น่าอยู่ขึ้น ซึ่งการมีส่วนร่วมและการเปิดรับของคนในชุมชนเป็นปัจจัยที่สำคัญมากของการเข้าไปทำโครงการ ความฝันของพวกเขาไม่ใช่ฝันที่ไกลเกินเอื้อมเลย เช่น อยากมีมุมพักผ่อนสังสรรค์ มีพื้นที่สีเขียว มุมสมุนไพรที่ปลูกพืชกินได้ ซึ่งเราสามารถช่วยกันเป็นส่วนเล็กๆ ที่ทำให้ฝันเหล่านี้เป็นจริงได้ สุทธิรัตน์กล่าว <br />
พร้อมเล่าว่า ผลจากการพาอาสาสมัครมาสัมผัสและทำกิจกรรมด้วยตัวเองผ่านโครงการต่างๆ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ประสบการณ์ตรงที่ได้รับของเหล่าอาสาฯ ทำให้เกิดการกลับไปขยายแนวร่วมในสังคมและชุมชนที่อยู่รอบข้าง รวมถึงเชื่อมโยงพลังของบรรดาอาสาฯกลายเป็นเครือข่าย เช่น อาสาฯน้องๆ นักศึกษากับอาสาฯผู้สูงอายุในชุมชน ซึ่งถือเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง <br />
ปัจจุบันเรดบลูสปิริต (<a href="http://www.redbullspirit.org/">http://www.redbullspirit.org/</a>) ยังถือเป็นหนึ่งในสื่อกลางของชุมชนจิตอาสาขนาดใหญ่มีผู้สนใจเข้ามาเป็นแนวร่วมประมาณ 4-5 หมื่นคน ในจำนวนนี้มีเครือข่ายที่ผู้สนใจทำงานอาสาฯอย่างจริงจังประมาณ 2 พันคน โดยมีตั้งแต่อาสาฯรุ่นเล็กที่สุดอายุ 7 ขวบ ไปจนถึงอาสาฯรุ่นอาวุโสวัย 80 ปี <br />
<span style="color: magenta;">สำหรับบรรยากาศของการลงพื้นที่เนรมิตฝันให้กับชุมชนคลอง 3 รังสิตประยูรศักดิ์ เริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น โดยบรรดาอาสาฯ ที่แบ่งกลุ่มกันลงพื้นที่ปรับปรุงสวนสมุนไพรหน้าบ้านโกคิ้ม จัดสวนสมุนไพร ปลูกต้นไม้ จัดสวนแนวตั้ง สร้างเครื่องบริหารร่างกายด้วยไม้ไผ่ ปรับปรุงมุมสงบหน้ารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ทำสวนผักลอยน้ำปลอดสารพิษ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสร้างรอยยิ้มกับการร่วมกันเรียนรู้วิถีการกินแบบแต้จิ๋วจาก หงี่เจ๊ก และอาม่าในชุมชนที่มาถ่ายทอดเคล็ดวิชาการทำขนมกุยช่าย ภูมิปัญญาอาหารจีนแต้จิ๋วสูตรดั้งเดิม </span> สำหรับชุมชนคลอง 3 รังสิตประยูรศักดิ์แห่งนี้ เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีวิถีผูกพันกับสายน้ำคลองรังสิตมายาวนาน โดยเป็นกลุ่มชาวจีนแต้จิ๋ว 3 แซ่ใหญ่ๆ แซ่เตียว แซ่ตั้ง แซ่แต้ ที่อพยพเข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมที่นี่เคยเป็นท่าเรือขนส่งซื้อขายข้าวที่สำคัญของภาคกลางและคลองรังสิตเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว ทั้งยังเป็นสถานที่เล็กๆ ที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เคยเสด็จประพาส และยังเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ไทยอมตะเรื่อง แสนแสบ <br />
<span style="color: blue;"> ปัจจุบัน ชุมชนยังคงรักษาวัฒนธรรมจีนแต้จิ๋ว เช่น การทำขนมก๋วงเจียง, ก๋วยบ๊ะ,บ๊ะจ่าง รวมถึงสภาพบ้านเรือน ยุ้งฉางเก็บข้าวเก่า ชิ้นส่วนเรือ ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิม การเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ ฯลฯ จะมีก็แต่วัยและอายุของสมาชิกชุมชนที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นชุมชนผู้สูงอายุ </span>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-37785763086727869372011-10-03T20:01:00.000+07:002011-10-03T20:01:48.831+07:00My Way: วราวุธ เจนธนากุล ครีเอทีฟ...เมค"เซ้นส์" <img alt="" height="200" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/08/29/images/news_img_406923_1.jpg" width="148" /><span style="background-color: white; color: blue;">ถ้าเปรียบชีวิตเหมือนรถ จังหวะชีวิตของ เอ- วราวุธ เจนธนากุล กำลังเป็นผู้บริหารที่ชีวิตติดสปีดไม่ต่างจากซูเปอร์คาร์ความเร็วสูง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกับบทบาทเจ้าของบริษัทผลิตรายการทีวีน้องใหม่ ‘เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์’ที่ออกตัวแรง</span><br />
<a name='more'></a><br />
<span style="color: red;">พร้อมเป้าหมายฉลองชัยรายได้ปีที่สองแตะ 200 ล้านบาท จาก 3 รายการหลักๆ ‘เกมเนรมิต’เรียลลิตี้โปรเจคร้อยล้านที่เครือ SCG ทุ่มทุนสร้างแบรนด์ผ่านจอ ,‘ศึกน้ำผึ้งพระจันทร์’ที่สร้างแบรนด์เครือซีพี ผ่านเรียลลิตี้โชว์ขอแต่งงาน CP Will you Marry Me และ ‘5 มหานิยม’ที่เจ้าตัว โดดมาทำหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการเอง </span> ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ การเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นเจ้าของรายการทีวีถือเป็นจุดพลิกผันที่แทบจะไม่เคยอยู่ในความนึกคิดมาก่อนในชีวิตของหนุ่มที่ร่ำเรียนจบและทำงานด้านไฟแนนซ์และการลงทุนที่เต็มไปด้วยตัวเลข เจ้าของดีกรีปริญญาโทบริหารธุรกิจ Kellogg School of Management มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น สหรัฐอเมริกา ในอดีตหนุ่มคนนี้เคยผ่านการทำงานเป็นวาณิชธนากร และผู้จัดการฝ่ายตราสารหนี้ที่เมอร์ริล ลินช์ ภัทร อยู่พักใหญ่ๆ <br />
<span style="color: blue;">“ผมเรียนจบด้านไฟแนนซ์มา เคยอยากเป็นนักการเงินการธนาคาร แต่หลังจากได้มีโอกาสทำงานสักพัก ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าอาจจะไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตจริงๆ สำหรับการเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งในขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งเป็นคนละความรู้สึกกับการที่ผมได้มาทำธุรกิจเอง สร้างธุรกิจขึ้นมาเอง เรารู้สึกว่ามันเป็นผลงานของบริษัทที่เราจับต้องได้ เห็นภาพได้”</span> จุดเปลี่ยนของหนุ่มไฟแนนซ์เริ่มขึ้น เมื่อได้รับคำชักชวนจาก สุภกิต เจียรวนนท์ ให้กลับมาช่วยงานเครือซีพี ซึ่งเป็นองค์กรที่ผูกพันมาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ (วรวิทย์ เจนธนากุล รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF) ก็ทำงานเป็นลูกหม้อเติบโตมากับเครือซีพี <br />
อีกหนึ่งบทบาทของวราวุธในปัจจุบันยังทำงานประจำในตำแหน่งเป็นผู้ช่วยประธานกรรมการบริษัท ทรูวิชั่นส์ เดินทางติดตามผู้ใหญ่ไปดูงานที่เมืองจีนบ่อยๆ จนกระทั่งบุคลิกมาดมั่น พูดจาฉาดฉาน เข้าตาบอสใหญ่เวิร์คพอยท์ชักชวนให้มาเป็นพิธีหน้าใหม่แจ้งเกิดครั้งแรกรายการตู้ซ่อนเงินเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ก่อนจะก้าวออกมาเติบโตเป็นผู้ผลิตรายการทีวีหน้าใหม่เองอย่างเต็มตัวเมื่อปีที่แล้ว โดยชูความโดดเด่นตอบโจทย์รายการเกมโชว์และวาไรตี้รูปแบบ Branded Entertainment ช่องทางสร้างแบรนด์ที่สินค้าหลายค่ายให้ความสนใจ<br />
<span style="color: lime;">“จริงๆ แล้ว ผมอยากเริ่มต้นธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ค่อยเป็นค่อยไป แต่เผอิญปีที่ผ่านมามีจังหวะที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อมีโอกาสเข้ามาเราก็ต้องคว้าไว้ บางทีคนชอบพูดว่ามีโอกาสมากมาย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่พร้อม โอกาสก็จะไม่ใช่โอกาสถ้าเราไม่ได้ทำมัน”</span> โอกาสที่ว่าหมายถึงการเป็นผู้ผลิตรายการเกมเนรมิต โปรเจคระดับร้อยล้าน โดยเข้าไปนำเสนอรูปแบบรายการทีวีแบบ Branded Content สร้างสรรค์รูปแบบรายการสาระบันเทิง โดยตีโจทย์นำเสนอความโดดเด่นด้านความเป็นผู้นำสินค้าวัสดุก่อสร้างเครือ SCG ผ่านเนื้อหารายการสู่สายตาผู้ชมอย่างกลมกลืน<br />
“จุดขายที่เรานำเสนอ คือ ครีเอทีฟบวกมาร์เก็ตติ้งที่เข้ามาตอบโจทย์ลูกค้า นำเสนอโปรดักชั่นรายการแบบใหม่ กล้าทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ เรามองว่า SCG เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างมั่นคง มีนวัตกรรมใหม่ๆ และเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์กิจกรรมเพื่อสังคมอยู่แล้ว เมื่อจับ 3 อย่างนี้มารวมกัน จึงเกิดเป็นรูปแบบเกมเนรมิตที่ใช้วัสดุก่อสร้างมาก่อสร้างจริง ทำให้เห็นจริงดีกว่า นำไปสร้างอาคารสาธารณประโยชน์ในที่ต่างๆทั่วประเทศ” <br />
นอกจากการนำเสนอไอเดียรูปแบบใหม่ๆ ชายหนุ่มมองว่า สิ่งที่สำคัญคือความกล้า ไม่ใช่แค่กล้าที่จะทำแต่ต้องทำให้ได้อย่างที่พูดด้วย<br />
<span style="color: red;"> “การทำงานแบบถึงลูกถึงคนก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น การสร้างความเชื่อมั่นขึ้นอยู่กับการทำจริงด้วย ถ้ารับปากใครแล้วต้องทำให้ได้”</span> โจทย์สำคัญที่ท้าทายสำหรับการทำรูปแบบรายการแบบ Branded Content คือ ทั้งผู้ชม สถานี และผู้สนับสนุนรายการ ทุกฝ่ายต้องแฮปปี้ไปด้วยกัน <br />
<span style="color: blue;"> “ถ้าผมทำรายการแล้วเนื้อหาไม่ดี แน่นอน ผู้สนับสนุนก็ไม่แฮปปี้ ช่องก็ไม่แฮปปี้ แต่ถ้าทำอะไรที่คนดูรู้สึกว่ายัดเยียด แน่นอนเขาก็ไม่อยากดู ดังนั้น การทำรายการต้องบาลานซ์ 3 อย่างตลอดเวลา”</span> กลยุทธ์มาร์เก็ตติ้งบวกไฟแนนซ์บวกครีเอทีฟ เป็นหลักการบริหารอย่างหนึ่งที่เจ้าของรายการอดีตหนุ่มไฟแนนซ์นำมาใช้ในการบริหารธุรกิจบันเทิง<br />
<span style="color: magenta;">“บางรายการถ้าเน้นขายแต่โฆษณา Tie-in ในรายการจนสูญเสียอรรถรสในการดู จนคนดูรู้สึกว่าไม่ดูดีกว่า เรทติ้งก็น้อยลง คุณจะบาลานซ์ยังไงให้อยู่ได้ ผมว่าส่วนหนึ่งมันเป็นไฟแนนเชียลที่นำมาจัดการได้ เช่น ผมรู้ว่ารายการมีต้นทุนเท่านี้ ผมจะขายยังไงให้ cover ค่าใช้จ่าย และอีกส่วนหนึ่งคือต้องใช้ศิลปะการบริหาร ศิลปะการผลิต ที่สำคัญ คือ บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีไฟ มีฝันที่เหมือนกัน ถึงจะไปด้วยกันได้...</span> <br />
บางทีเราทำรายการ ต้องถามตัวเองก่อนอยากดูไหม ถ้าตัวเองอยากดูถึงทำ ถ้าตัวเองไม่อยากดู ผมว่าอย่าทำดีกว่า และผมจะไม่ดันทุรัง ถ้าอันไหนผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ผมเปลี่ยนเอง ไม่ต้องมีคนบอกให้เปลี่ยน เพราะผมเองจะเป็นคนแรกที่ทนไม่ได้ อย่างศึกน้ำผึ้งพระจันทร์ ถามว่ารูปแบบเก่ามีคนชื่นชอบมั้ย...มี แต่ผมบอกว่ามันถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว ก็เปลี่ยนเถอะ เปลี่ยนแล้วยังไม่ลงตัวก็ค่อยๆ ปรับให้ลงตัว”<br />
ในฐานะผู้ผลิตรายการหน้าใหม่ มีรายการแบบไหนที่อยากเห็นและอยากทำ ? <br />
<span style="color: blue;"> “ผมอยากเห็นรายการแบบ Branded จากหลายๆ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคและคนดู นั่นเป็นแนวทางที่เราวางตัวเองไว้และอยากขยายให้เติบโต คือ สร้างสรรค์รายการที่มีประโยชน์กับคนดู”</span> ฟังแล้วในแง่ผู้บริโภคยุคนี้เรากำลังถูกครอบงำด้วยแบรนด์และแบรนด์ไหม ? ในทัศนะของวราวุธ มองว่า สำหรับรายการทีวีแล้วทุกอย่างอยู่ที่ศิลปะในการสร้างสรรค์รายการ ซึ่งเขาเชื่อว่าในที่สุดผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะไม่มีใครอยากดูรายการที่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดด้วยโฆษณาขายสินค้าตลอดเวลา ความท้าทายของเขาเป้าหมายที่อยู่เราอยากทำรายการที่ให้ทั้งความรู้และความบันเทิงกับผู้ชม ให้แรงบันดาลใจ ฝันไกลของนักธุรกิจบันเทิงคนนี้ยังหมายมั่นอยากผลิตคอนเทนท์รายการที่สามารถออกไปโกอินเตอร์ในต่างประเทศ ทำเงินและสร้างชื่อเสียงให้กับเมืองไทยอีกด้วย <br />
<span style="color: magenta;"> “เรื่องศิลปะในการสร้างสรรค์รายการเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้มีทีวีค่อนข้างเยอะทั้งทีวีดาวเทียม ทีวีเคเบิล มีทีวีเฉพาะทางมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่าคนที่มีความสามารถก็จะไหลกระจายไปอยู่หลายๆ ที่ การสร้างบุคลากรการทำรายการโทรทัศน์ ทางด้านสื่อสารมวลชน ก็ต้องสร้างเพิ่มขึ้น มันเป็นรอยต่อของคลื่น เป็นจังหวะที่ต้องเร่งสร้างประสบการณ์เก็บเกี่ยวประสบการณ์ของตัวเองขึ้นมารับช่วงต่อ พัฒนาวงการให้มันดียิ่งๆ ขึ้นไป” </span> บทบาทการบุกเบิกเป็นเจ้าของธุรกิจบันเทิงน้องใหม่ พิธีกรรายการ และการทำงานเป็นผู้ช่วยประธานกรรมการบริษัท ทรูวิชั่นส์ ทำให้เวลา 7 วันในหนึ่งสัปดาห์แทบจะไม่มีพอ สำหรับการทุ่มเทเต็มร้อยให้กับการทำงานชนิดมือระวิง ถ้าเปรียบเทียบเป็นความเร็วก็ต้องบอกว่าวิ่งด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะมองว่าเป็นจังหวะชีวิตในวัยที่ยังมีกำลังทำได้ก็ต้องทุ่มเทเต็มที่ เพราะเป็นช่วงสำคัญของการบุกเบิกสร้างความมั่นคงในชีวิต ส่วนหนึ่งมีต้นแบบจากคุณพ่อซึ่งทุ่มเททำงานหนักมาตลอด ขณะที่เจ้านาย (สุภกิต เจียรวนนท์) ก็เป็นคนที่ทำงานตลอดเวลา ทำให้เขาเห็นคุณค่าของการทุ่มเททำงานหนัก <br />
<span style="background-color: white; color: blue;">“ตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาเห็นเพื่อนคนนั้นคนนี้มีเงินหรือบ้านรวย ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมอยากได้อยากมีเหมือนเขา แต่ผมอยากเป็นคนเก่งมากกว่า เวลาเห็นคนๆ หนึ่งประสบความสำเร็จ ผมจะไม่ได้มองที่ตัวเงิน แต่จะมองวิธีว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างไร ส่วนเรื่องเงินทองเป็นเรื่องที่ตามมาทีหลังมากกว่า ตั้งแต่เล็กๆ ผมจะอ่านประวัติชีวิตคนค่อนข้างเยอะ เป็นการสร้างแรงจูงใจว่าเราอยากประสบความสำเร็จแบบคนรุ่นก่อนๆ” ชายหนุ่มเล่าถึงความมุ่งมั่น--จบ--</span>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-58266539406745212512011-10-03T19:57:00.000+07:002011-10-03T19:57:26.674+07:00ธรรมนำใจ..ธรรมนำชัย ‘ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์’<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-e49jvKWErIs/TomwugfwHNI/AAAAAAAAACo/P5yzgyLAPec/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2588%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259F%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="165" kca="true" src="http://3.bp.blogspot.com/-e49jvKWErIs/TomwugfwHNI/AAAAAAAAACo/P5yzgyLAPec/s200/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2588%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259F%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2.jpg" width="200" /></a></div><br />
<span style="color: magenta;">เบื้องหลังธงชัยในชีวิตผ่านธรรมบรรยายที่ทำให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงยิ้มได้ทุกวัน</span> และทรงงานหนักอย่างไม่ย่อท้อ ก้าวข้ามทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในพระชนม์ชีพ แม้ต้องทรงเผชิญพระอาการประชวรด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus - SLE) <br />
<a name='more'></a><br />
<span style="color: red;"> นอกเหนือจากถ้อยคำที่ทรงเปิดพระทัยอย่างตรงไปตรงมา และไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ทั้งในพระราชฐานะเจ้าฟ้าหญิงของแผ่นดิน พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ฯลฯ</span> ร้อยเรียงผ่านหนังสือ “ความในใจของข้าพเจ้า” จากบทพระราชทานสัมภาษณ์ที่เคยเผยแพร่ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เนื่องในโอกาสเสด็จเป็นองค์ประกอบในงานเปิดตัวหนังสือ โดยนำรายได้เพื่อสมทบทุนมูลนิธิจุฬาภรณ์ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง พร้อมทรงบรรยายธรรมในหัวข้อ“การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน” เมื่อวันพุธที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ยังนำความอิ่มเอมและพลังใจให้บรรดาผู้มาเฝ้ารับเสด็จ และฟังธรรมบรรยายในวันนั้นซาบซึ้งกับพระจริยวัตรและธรรมะง่ายงามที่นำปรับมาใช้ในชีวิต สมดังพระประสงค์ที่รับสั่งว่า อยากแบ่งปันความรู้ อะไรบางอย่างที่ทำให้ตื่นมาแล้วยิ้มได้อย่างนี้ทุกวัน จากคำสอนของหลายหลวงปู่และหลายหลวงตา โดยเฉพาะหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่ทรงเป็นลูกศิษย์มาเป็นเวลา 15 ปี<br />
<span style="color: blue;">ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เริ่มต้นบรรยายธรรมในวันนั้นตอนหนึ่งว่า “คนเราเมื่อเกิดมาในโลกนี้ย่อมมีความทุกข์ด้วยกันทุกคน ความทุกข์นี้ บ้างก็อาจจะพูดว่าเกิดขึ้นเพราะความไม่เสมอภาคแล้วก็มีระบอบบางระบอบที่บอกว่าจะทำให้ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกันซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ การที่เกิดมา จน หรือรวย แข็งแรง หรือเจ็บป่วย มีรูปโฉมสวยงาม หรือหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดมาด้วยกรรมที่คนเราทำเอง อาจจะเป็นกรรมที่เราจำไม่ได้ เพราะว่าอาจจะทำมาตั้งแต่ชาติโน้น ชาติก่อนแล้วกรรมเพิ่งมาให้ผล เพราะฉะนั้นคนเราจึงเกิดมาไม่เท่าเทียมกันเพราะว่าบุญ หรือกรรมที่สะสมมา..” </span> วงจรชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์ในชีวิตมนุษย์ที่ยากจะหนีพ้น คำสอนธรรมะ 3-4 หลักสำคัญ ที่ทรงใช้เป็นเคล็ดลับประจำใจในการดำเนินชีวิตให้ยิ้มได้ทุกวัน คือ การอยู่กับปัจจุบัน การปล่อยวาง อภัยทาน และการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ<br />
<span style="color: magenta;">“..หลวงตามหาบัวท่านสอนว่า “อดีตทำเมา ปัจจุบันธรรมโม อนาคตทำมา” คำว่า “ทำเมา” แปลว่าทำให้มัวเมา เพราะอดีตผ่านไปแล้วไม่ควรจะยึดติดกับอดีตซึ่งทำให้จิตคนเราเศร้าหมอง อดีตมีส่วนดีอยู่อย่างเดียว คือเป็นเครื่องเตือนใจ เช่นว่าถ้าทำผิดก็เตือนใจตัวเองว่าจะไม่ทำซ้ำ ส่วนถ้าทำดีแล้วเป็นเรื่องดีแล้วก็จำไว้ว่านี่เป็นเรื่องดีที่เราทำแต่อย่าไปหมกมุ่น ส่วนคำว่าอนาคตทำมา หมายถึง อนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การที่พยายามจะไปทำนาย คาดเดา อันนี้ทำให้จิตฟุ้งซ่านและเป็นทุกข์ ส่วนคำว่าปัจจุบันธรรมโม หมายถึงหลวงตาท่านสอนว่าคนเราควรจะอยู่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อันนี้เป็นหลักหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ทุกคนสามารถนอนหลับได้โดยไม่มีกังวล ถึงเวลานอนบอกตัวเอง ตอนนี้ถึงเวลานอนแล้ว เรื่องอะไร งานการอะไรที่จะคิด วางเอาไว้ก่อนไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดถึงมัน อันนี้เป็นหลักหนึ่งของข้าพเจ้าที่ทำให้ยิ้มได้ทุกวัน</span> อีกอันหนึ่ง คือ การพิจารณา และการละวาง เราทุกคนต้องมีสิ่งที่เข้ามากระทบใจ ถ้าสิ่งที่เราไม่ชอบมากระทบใจ หลวงตาท่านสอนว่าต้องพิจารณาตัวเอง ท่านสอนข้าพเจ้าว่า อย่านำจิตแส่ส่ายออกไปข้างนอก ให้นำจิตกลับเข้ามาที่ตัวเอง และพิจารณาตัวเอง ...สิ่งที่คนอื่นพูดจริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ วางไปเลยไม่ต้องคิดแล้ว แต่ถ้าใช่อย่างที่เขาว่า ก่อนที่จะวางจะต้องแก้ไข..คนที่ผิดแล้วแก้ไขได้ ถือว่าประเสริฐมาก ประเสริฐกว่าคนที่ทำดีอยู่แล้วแล้วทำดีต่อไปอีก เมื่อพิจารณาแล้ว หลังจากนั้นก็ละวาง หมายความว่าจะไม่เก็บเรื่องเหล่านั้นมาหมกมุ่นครุ่นคิดต่อ เพราะว่าจะทำให้จิตของเราเศร้าหมอง.. “ <br />
" ส่วนเคล็ดลับที่ 3 อยากจะแนะนำบุญใหญ่ที่ทำได้ไม่ยาก เพราะมันอยู่ที่ใจเราเอง เป็นทานที่เรียกว่า อภัยทาน หมายความว่าใครมาทำไม่ดีกับเราแทนที่เราจะไปครุ่นคิด คับแค้น ให้อภัยเขาไปเลย เมื่อเราให้อภัย มันเกิดความโล่ง ความสบายที่ไม่ต้องมานั่งครุ่นคิดเรื่องคับแค้นอีก หลวงตาท่านบอกว่าทานอะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าอภัยทาน ถ้าเขาทำผิดกับเราให้อภัย เราได้ทานใหญ่ได้บุญมากแล้วใจเราก็สบายด้วย”<br />
ธรรมบรรยายในวันนั้นยังทรงแนะนำเคล็ดลับในการฝึกสติโดยการนั่งสมาธิ โดยทรงเน้นว่า คนเราไม่ว่าทำอะไรทั้งสิ้น ต้องมีสติ สติคือการระลึกรู้ โดยการนั่งสมาธินั้น วัตถุประสงค์จริง ๆ คือต้องการให้จิตเราอยู่นิ่งไม่คิดอะไรทั้งสิ้น <br />
<span style="background-color: white;"> “<span style="color: blue;"> คำบริกรรมคือคำที่ใช้กำกับการกำกับจิตเราเองให้นิ่งอยู่กับที่ จะใช้อะไรก็ได้จะเป็นพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วแต่ถนัด ตัวข้าพเจ้าใช้พุทโธ...ขอนำคำสอนของลูกศิษย์ของหลวงตาอีกท่านหนึ่ง ชื่อ พระอาจารย์อินทวาย ท่านสอนว่า มี 2 เคล็ดสำหรับการนั่งสมาธิ อันแรกคือไม่กำหนดลมหายใจเลย กำหนดอยู่ที่คำว่าพุทโธ ๆ ๆ แล้วลองอย่างนี้ 5 นาที อีกอันหนึ่ง ท่านสอนว่าหายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับ 2 หายใจเข้าอีกนับ 3 หายใจออกนับ 4 ทำอย่างนี้ถ้าได้ถึง 100 โดยไม่หยุดเลย คือ หายใจเข้าเป็นเลขคี่ ออกเป็นเลขคู่ 1-100 โดยไม่งงไม่สับสนเลยใช้ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ไม่ต้องไปกำหนดจิตที่ไหนเลยทำซ้ำ หายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับสอง ทำไปเรื่อย ๆ อันนี้จริง ๆ ไม่ได้ฝึกอะไร ฝึกสติ ถึงได้ว่า สติสำคัญมาก คนนั่งสมาธิใหม่ ๆ ข้าพเจ้าบอกเสมอว่า 5 นาทีพอ แต่จิตของเราจะต้องไม่วอกแวก ออกไปไหน ไม่คิดเรื่องอื่นเลย...เมื่อจิตสงบนิ่งจะทำให้เกิดปัญญา“</span> โอกาสนี้ ยังรับสั่งถึง</span>ธรรมะที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสอนและเน้นอยู่เสมอ นั่นคือ “ ให้มีสติและสำคัญที่สุดให้สำนึกรู้ในหน้าที่ที่ตัวเองมี ในฐานะที่ข้าพเจ้าเกิดเป็นลูกของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ท่านสอนให้รำลึกรู้ถึงหน้าที่ที่ต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านบอกว่าพวกเราอยู่ได้ก็เพราะประชาชน เพราะฉะนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อประชาชนคนไทย <br />
พร้อมทั้งทรงตอบคำถามถึงพลังใจยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทรงทำงานลุล่วง แม้ว่าจะทรงพระประชวร <br />
“ <span style="color: magenta;">พลังใจใหญ่มีจาก 3 พระองค์ด้วยกันที่เป็นแบบอย่างในการทำงานเพื่อส่วนรวม พระองค์แรก คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระองค์ที่ 2 คือสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพราะว่าตั้งแต่เด็กมาเห็นตัวอย่างจากพ่อจากแม่ที่ทำงานทุกอย่างเพื่อประชาชน เราทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหน อันนี้เป็นแก่นสารของชีวิต ยิ่งเราทำให้เพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหนนี่มันเป็นความปลาบปลื้มที่ย้อนเข้ามาหาเราทำให้มีพลังใจยิ่งขึ้นที่จะทำงาน และองค์ที่ 3 ที่เป็นแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าคือหลวงตามหาบัว ซึ่งท่านเป็นพ่อบุญธรรม “ </span> <span style="color: blue;">เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ รับสั่งว่า ทีแรกกังวลว่าจะมางานในวันนี้ไม่ได้ จริง ๆ แล้วข้าพเจ้าไม่สบายตั้งแต่ต้น เป็นโรคที่เรียกว่า Systemic Lupus Erythematosus คือเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง คือพูดง่าย ๆ ถ้าพูดกับคนไทยเป็นโรคอย่างพุ่มพวง ...ซึ่งที่ผ่านมาหลายปี มันจะ Attack ที่กระดูกเป็นส่วนใหญ่ เมื่อวานกระดูกมือนี่บวมไปหมด แล้วก็เจ็บปวดมาก ตลอด 3 วันข้าพเจ้าใช้ฉีดยาแก้ปวด แล้วก็ทำงานเอา </span> เมื่อวานนี้กลับมาถึงกรุงเทพฯ มาในสภาพแย่เต็มทน เพราะปวดทนไม่ไหว หมอฉีดสเตียรอยด์บล็อกไว้ไม่ให้เป็นมากกว่านี้ แล้วก็ฉีดยาแก้ปวดด้วย อันนี้เป็นอะไรที่เป็นอุปสรรคเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าก็คิดว่าจะต้องข้ามมันให้ได้ ตั้งใจจะพยายามทำงานตามเจตนารมณ์ จริงๆ แล้วหมอบอกว่าให้พัก ตั้งแต่วินาทีนี้ เมื่อคืนนี้ คุณหมอต่างๆ ก็มาเต้นอยู่ข้างเตียงบอกว่าให้พัก ก็บอกเขาว่าอาจจะลาพักได้ราวๆ เดือนกันยายน ต้องดูว่าจะเคลียร์ได้ตรงไหนก็พัก...<br />
<span style="color: magenta;"> ข้าพเจ้าคิดว่าจริงๆ แล้ว ธรรมะอีกอย่างหนึ่ง คือ การที่เรานั่งสมาธิพอจิตสงบร่างกายมันได้พักไปด้วย อันนี้เป็นเคล็ดที่ควรทำอย่างยิ่ง นอกจากทั้ง 3 พระองค์ ที่เปรียบเหมือนธงชัยที่นำให้ข้าพเจ้าทำงาน ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ ความรัก ความห่วงใยจากประชาชนที่มีความรักให้มากมาย อันนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าอย่างยิ่งเหมือนกัน “ เจ้าฟ้าหญิงทรงกล่าวทิ้งท้าย--จบ--</span>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-52992966011618446732011-10-03T19:52:00.000+07:002011-10-03T19:52:13.128+07:00พลังความสำเร็จ ดอกไม้เหล็กโลกธุรกิจ<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-mbgE8-_3OgU/Tomvqa4lB1I/AAAAAAAAACk/_bo0s0ALTaI/s1600/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="133" kca="true" src="http://2.bp.blogspot.com/-mbgE8-_3OgU/Tomvqa4lB1I/AAAAAAAAACk/_bo0s0ALTaI/s200/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581.jpg" width="200" /></a> <span style="color: blue;">พ.</span><span style="color: blue;">ศ.นี้ บทบาทของผู้หญิงฉายแววโดดเด่นในทุกวงการ ตั้งแต่การเมือง รวมไปถึงพลังหญิงในแวดวงเศรษฐกิจ</span> โดยล่าสุด สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ นำโดยคุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน อังอุบลกุล และสมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย-กรุงเทพฯ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ </div><a name='more'></a><br />
<span style="color: blue;">โดย ฐิตินันท์ วัธนเวคิน ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และภาคเศรษฐกิจและสถาบันการเงิน กว่า 40 แห่ง รวมพลังจัดงานใหญ่เนื่องในวันสตรีไทย</span> พร้อมเปิดเวทีเสวนา ถอดรหัสสู่ความสำเร็จ...นักธุรกิจรุ่นใหม่ โดยมี 3 ดอกไม้เหล็กวงการธุรกิจ พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด, ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด, อุษณีย์ มหากิจศิริ ลีโอณีโอ ประธานกรรมการ บริษัท เคดีเอ็น จำกัด มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ พร้อมด้วย 2 ผู้บริหารหนุ่มมืออาชีพ ธนา เธียรอัจฉริยะ ผู้บริหารแมคยีนส์ และ สุเมธ ดำรงชัยธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อเร็วๆ นี้ <br />
<span style="color: magenta;"> เปิดเวทีเสวนาโดยผู้บริหารหญิงแกร่งกิฟฟารีน พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ร่วมแบ่งปันทัศนะความสำเร็จ โดยย้ำว่า คนเราจะประสบความสำเร็จได้สิ่งสำคัญต้องเริ่มจากพื้นฐานของความสุข และการเปิดใจพร้อมที่จะเรียนรู้ ที่สำคัญคือต้องมีทั้งวิธีคิดที่ดีและวิธีการที่ถูกต้อง ตอบโจทย์ทั้ง 3 องค์ประกอบ คือ ตัวเรามีความสุข คนรอบข้างและครอบครัวมีความสุขได้ และสังคมมีความสุขด้วย นอกจากนี้ การเป็นนักธุรกิจต้องบริหารอารมณ์เป็น ใช้สติ ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ </span> องค์ความรู้บางอย่างทุกคนเรียนรู้ได้จากตำรา จากมหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่จะชี้วัดว่าใครจะประสบความสำเร็จมากกว่า คือ คุณคิดเป็นไหมว่าอะไรสำคัญกว่าอะไร อะไรต้องทำก่อน อะไรต้องทำทีหลัง ตรงนี้สำคัญมาก รวมถึงสปีด หรือ ความเร็ว เรื่องบางอย่างทำพร้อมกันได้ ไม่จำเป็นต้องรอ อีกสิ่งที่สำคัญมาก คือ ทำอย่างไรให้คนที่ทำงานกับเรามีความสุขมากที่สุด <br />
นอกจากการบริหารธุรกิจแล้ว การบริหารชีวิตในบทบาทเวิร์คกิ้งมัมก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ทุกวันนี้แม้จะทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลา เสาร์อาทิตย์ต้องเดินทางออกต่างจังหวัดตลอด แต่จะใช้วิธีจัดการชีวิตโดยมีสถานที่ทำงานติดกับบ้าน เพื่อที่จะได้มีเวลาอยู่กับลูกๆ ตอนเย็นๆ <br />
<span style="color: blue;"> ด้านผู้บริหารสาวรุ่นใหม่แวดวงการลงทุนทองคำ ฐิภา นววัฒนทรัพย์ เผยถึงเส้นทางธุรกิจ โดยเริ่มต้นจากความผูกพันของธุรกิจครอบครัวซึ่งทำด้านจิวเวลลี่ ส่งออกเครื่องประดับ เพชร และทองคำ หลังจากเรียนจบกลับมาเมื่อ 8 ปีที่แล้ว จึงเข้ามารับช่วงบุกเบิกธุรกิจใหม่ จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ จนกระทั่ง 4 ปีผ่านไปสามารถก้าวขึ้นมาครองแชมป์เป็นอันดับหนึ่งถึงตอนนี้ 3 ปีติดต่อกันแล้ว เบื้องหลังความสำเร็จมาจากตอบโจทย์ความพึงพอใจของลูกค้า </span> เรามองเห็นโอกาสจากช่องว่างในตลาด บริการและความสะดวกสบายต่างๆ ที่ลูกค้าต้องการ เช่น เวลาเดินไปซื้อทอง ไม่มีร้านทองร้านไหนแนะนำว่า อย่าเพิ่งซื้อทอง จังหวะนี้รอก่อน อย่าเพิ่งลงทุน แต่มาที่เรา เราแนะนำให้ เราทำรีเสิร์ชว่าลูกค้าต้องการอะไรบ้าง ทำให้เราสามารถเติบโตก้าวกระโดดใน 8 ปี ปีที่แล้วยอดส่งออกและนำเข้าทองคำของเราอยู่ที่ 280 ตัน ต่อมาเมื่อเรามีฐานลูกค้าเยอะขึ้น ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้เรามีการออกบทวิเคราะห์ มีการออกสื่อทางช่องทีวีเพื่อวิเคราะห์ข่าวแนะนำนักลงทุน ว่าจังหวะไหนควรลงทุน จังหวะไหนอันตราย จังหวะควรชะลอสำหรับการลงทุนด้านทองคำ <br />
ด้าน อุษณีย์ มหากิจศิริ ลีโอณีโอ เผยถึงความสำเร็จปรากฏการณ์โดนัทที่ทำให้คนต่อคิวยาว ล่าสุดเตรียมตัดริบบิ้นขยายคริสปี้ครีมสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลลาดพร้าวดีเดย์ 28 สิงหาคมนี้ โดยย้ำว่าความสำเร็จเกิดขึ้นได้จากการที่ได้ทำในสิ่งที่รัก เปรียบเทียบได้กับหลักอิทธิบาทสี่ในทางพุทธศาสนา ที่ต้องเริ่มต้นจาก ฉันทะ หรือความรัก ความพอใจในสิ่งที่ทำ <br />
<span style="color: magenta;"> Passion เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่เราต้องหาให้เจอ หากเราที่จะทำอะไร เราจะทุ่มเทอยู่กับสิ่งนั้นได้ 24 ชั่วโมง...กว่าจะได้ธุรกิจตัวนี้มาเปิดในเมืองไทยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ บางคนอาจภาพความสำเร็จแบบสแนปช็อต แต่กว่าจะถึงวันนี้ ต้องบินไปคุยธุรกิจที่ต่างประเทศซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่ตั้งท้องอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้จากความรักในสิ่งที่ทำ ทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ ทุกวันจะคิดเสมอว่าวันนี้เราทำดีกว่าเมื่อวานแล้วหรือยัง.. สิ่งที่สำคัญที่สุดของการได้ทำธุรกิจนี้ มากกว่าเรื่องเงินทอง คือ รอยยิ้มของลูกค้า ความสุขที่เกิดขึ้นทั้งตัวเราที่ได้ทำในสิ่งที่รัก และทำให้คนอื่นได้ทานสิ่งที่เขาชอบ และแบ่งปันให้คนอื่น</span>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-7102707861272056052011-10-03T19:45:00.000+07:002011-10-03T19:45:43.483+07:00ลูกไม้ใต้ต้น...บนเส้นทางสาย ‘ไหม’ ปิยวรา ทีขะระ<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/08/22/images/news_img_405822_1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="200" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/08/22/images/news_img_405822_1.jpg" width="136" /></a> <span style="color: blue;">ถือเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นอีกหนึ่งคน</span> สำหรับสาวรุ่นใหม่นักอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไทย ไหม-ปิยวรา ทีขะระ บุตรสาวคนเดียวของ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ นางสนองพระโอษฐ์ และ รองราชเลขานุการใน<span style="color: magenta;">พระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ </span></div><a name='more'></a><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">ถือเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นอีกหนึ่งคน สำหรับสาวรุ่นใหม่นักอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไทย ไหม-ปิยวรา ทีขะระ บุตรสาวคนเดียวของ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ นางสนองพระโอษฐ์ และ รองราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ พล.อ.อ.รังสรรค์ ทีขะระ อดีตรองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด ปัจจุบัน สาวไหมวัย 28 ปี รับบทบาทสำคัญเป็นหัวหน้าโครงการพิพิธภัณฑ์ผ้า ใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง พิพิธภัณฑ์อนุรักษ์ผ้าระดับสากล ซึ่งเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ <br />
<span style="color: blue;"> พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ แห่งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกายของคนไทยและผ้าไทย ทั้งยังเป็นสถานที่รวบรวมจัดเก็บรักษาผ้าไทยและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนจัดแสดงงานหัตถศิลป์จากผ้าอันทรงคุณค่าของราชสำนักและผ้าพื้นเมืองต่างๆ </span> ปิยวรา เริ่มเข้ามาทำงานเต็มตัวตั้งแต่ช่วงปี 2551-2552 โดยตั้งแต่ช่วงที่ไปเรียนต่อ ได้รับพระราชทานทุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เธอเล่าว่า ทราบมาก่อนแล้วว่าจะต้องกลับมาทำพิพิธภัณฑ์ผ้า เลยเลือกเรียนสาขาที่ตัวเองสนใจและสามารถช่วยงานของพิพิธภัณฑ์ได้ หลังจากเรียนจบประวัติศาสตร์ศิลปะ จากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ความสนใจด้านเสื้อผ้าและการแต่งกาย ทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนต่อปริญญาโท ด้าน Visual Culture : Costume Studies ที่ มหาวิทยาลัย New York University ก่อนกลับมาทำงานเป็นผู้ช่วยอาจารย์สมิทธิ ศิริภัทร ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลโครงการพิพิธภัณฑ์ผ้าในขณะนั้น <br />
ภายหลังการจากไปอย่างกะทันหันของอาจารย์สมิทธิ จึงรับไม้ต่อเข้ามาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักอย่างเต็มตัว รับเป็นบทบาทเป็นหัวหน้าโครงการทำงานร่วมกับทีมงานคนรุ่นใหม่กว่าสิบชีวิต <br />
เริ่มตั้งแต่การเดินทางลงพื้นที่ต่างจังหวัด การหาองค์ความรู้เพื่อนำมาร้อยเรียงเรื่องราวสู่พิพิธภัณฑ์ผ่านทั้งหนังสือที่ผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านได้บันทึกไว้ การเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ใหญ่ในกองราชเลขาฯ ที่ได้ตามเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่ช่วงปีพุทธศักราช 2500 รวมไปถึงชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆบรรดาสมาชิกโครงการศิลปาชีพซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ <br />
<span style="color: magenta;">"งานของเราคือการเก็บข้อมูล พยายามผูกเรื่องราวเรื่องผ้ากับพระราชกรณียกิจให้ออกมาเป็นนิทรรศการ นอกจากนี้ คือต้องออกพื้นที่ไปสัมผัสกับชาวบ้าน ใช้เวลาคลุกคลีทำความรู้จักกับเขาจริงๆ บางทีไปอยู่ยาวทีละสองอาทิตย์ ไปกินนอนกับเขา แต่ละที่ต้องลงพื้นที่ไปหลายครั้ง จนรู้จักคุ้นเคยกับสมาชิกศิลปาชีพต่างๆ ทั่วประเทศ ไปอยู่เหมือนลูกหลานเขา นอนบ้านเขา"</span> <br />
หากถามถึงความประทับใจของการเลือกเดินบนเส้นทางสายนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่ประโยค แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกไม้ใต้ต้นเล่าให้ฟัง คือ ความภูมิใจที่ฉายผ่านรอยยิ้มและแววตาของลูกสาวเมื่อเล่าถึงคุณแม่ซึ่งถือเป็น "เวิร์คกิ้งมัม" กับภาพที่เห็นคุณแม่ทุ่มเททำงานมาตั้งแต่จำความได้ <br />
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ (สกุลเดิม "อุรัสยะนันท์") เป็นบุตรีอดีตประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ และรองปลัดกระทรวงมหาดไทย จาด อุรัสยะนันท์ และ ท่านผู้หญิงเจือทอง อุรัสยะนันท์ เริ่มทำงานที่กองราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยถวายงานและตามเสด็จ มาตั้งแต่ปี 2515 และเป็นผู้ช่วย ท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ อดีตราชเลขานุการใน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการเดินทางสำรวจผ้าไหมมัดหมี่ในภาคอีสาน จนเกิดเป็นมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ในปัจจุบัน <br />
"<span style="color: blue;">ต้องเรียกว่าคุณแม่ทำงานก่อนที่จะมีไหมอีก หลังจากแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็ยังทำงานอยู่จนถึงปัจจุบัน สมัยที่คุณแม่ตั้งท้องไหม 9 เดือนแล้ว ก่อนจะคลอดก็ยังไปเคลียร์งานอยู่เลยค่ะ (หัวเราะ)" ไหม เล่าว่า แม้แต่ชื่อเล่นที่คุณแม่ตั้งให้ว่า "ไหม"</span> ก็เกี่ยวข้องจากความผูกพันที่คุณแม่ทำงานด้านผ้าไหมมาตั้งแต่ก่อนจะมีลูกสาวตัวน้อยๆ เป็นแก้วตาดวงใจ <br />
ทายาทคนเดียวของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ เผยความรู้สึกให้ฟังว่า สมัยวัยเด็กยังไม่เดียงสา เคยน้อยใจว่าทำไมคุณแม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน หายไปทำงานต่างจังหวัดทีละเป็นเดือนๆ เมื่อโตขึ้นรู้ความมากขึ้นถึงเข้าใจงานที่แม่ทุ่มเท <br />
"สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกเยี่ยมราษฎรแต่ละภาคใช้เวลานานเป็นเดือน กว่าจะครบแต่ละหมู่บ้าน เวลาคุณแม่ไปทำงานต้องตามเสด็จ บางครั้งเรายังเด็ก เคยน้อยใจว่าทำไมคุณแม่ไม่อยู่ด้วยกัน อย่างช่วงวันเกิดคุณแม่ก็ต้องไปทำงานที่อีสานไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เมื่อโตขึ้น ได้เข้าใจมากขึ้น ยิ่งตอนนี้ได้ไปลงพื้นที่ด้วยตัวเอง ได้ไปคุยกับคุณป้าคุณน้าหลายคนในอีสาน ทำให้ได้เข้าใจในสิ่งที่แม่ทำว่าเพราะอะไรเขาถึงทุ่มเท ถึงวันนี้รู้สึกภูมิใจที่คุณแม่ได้ทำงานถวาย และภูมิใจที่เราได้มีส่วนร่วมทำงานถวาย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วย... <br />
<span style="color: lime;"> ภาพที่จำได้ตั้งแต่เด็กๆ คือ คุณแม่เป็นคนทำงานหนักมาก ตื่นแต่เช้าอุ้มเราขึ้นรถ ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนเอง ไปทำงานจนถึงทุ่มสองทุ่ม พอเริ่มโตขึ้นเราได้เข้าใจว่าคุณแม่ทำงานถวาย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นะ ซึ่งพระองค์ท่านทรงงานเพื่อราษฎร เวลาได้เห็นคุณแม่ในทีวี เราก็พลอยรู้สึกภูมิใจไปด้วย" </span> หลังความทุ่มเทของคณะทำงานพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ซึ่งใช้เวลาเริ่มต้นโครงการมาถึงวันนี้ผ่านมา 8 ปี นับตั้งแต่การปรับปรุงหอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง สำหรับใช้เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ โดยใช้เวลาในการบูรณะปรับปรุงอาคาร 6 ปีและจัดเตรียมเนื้อหานิทรรศการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์อีก 2 ปี ปลายปีนี้ พิพิธภัณฑ์ผ้าใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมแล้วที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ห้อง ด้วยกัน <br />
ห้องจัดแสดงที่ 1 จัดแสดงฉลองพระองค์ในชุดสากลใน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงในวาระสำคัญต่างๆ ห้องจัดแสดงที่ 2 จัดแสดงฉลองพระองค์ชุดไทยพระราชนิยม กว่า 30 องค์ รวมถึงฉลองพระองค์และผ้าโบราณในราชสำนัก และ ห้องจัดแสดงที่ 3 จัดแสดงพระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการจัดตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ <br />
"<span style="color: blue;">ผ้าที่นำมาจัดแสดงบางส่วนเป็นผ้าโบราณจากฝ่ายใน จากที่เคยเก็บไว้ในคลัง บางส่วนถือเป็นโอกาสที่จะนำมาจัดแสดงให้คนทั่วไปได้มีโอกาสชื่นชม เช่น ผ้ายกของเจ้านายสมัยก่อน ผ้าทรงสะพัก หากเราย้อนศึกษาเรื่องราวผ่านผืนผ้าเหล่านี้ จะได้เห็นทั้งวัฒนธรรม อารยธรรมผ่านเครื่องแต่งกายต่างๆ สิ่งหนึ่งที่รู้สึกภูมิใจ เวลาที่เราไปดูพิพิธภัณฑ์ผ้าในต่างประเทศ ผ้าเหล่านั้นมักจะไม่มีอยู่จริงในโลกภายนอก เป็นภูมิปัญญาที่สูญหาย ไม่มีใครทำอีกแล้ว แต่ในเมืองไทย เรายังมีชาวบ้านที่ยังช่วยกันรักษาภูมิปัญญาเหล่านี้ให้คงไว้ ซึ่งหาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไม่ได้ทรงเห็นการณ์ไกลว่าควรอนุรักษ์ภูมิปัญญาเหล่านี้ไว้ และทรงช่วยสร้างให้เป็นอาชีพ วันนี้ภาพในอดีตก็อาจจะไม่มีให้เห็นอย่างเช่นในปัจจุบัน" ปิยวรา บอกเช่นนั้น </span></div>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-62189720563345322192011-08-11T15:39:00.003+07:002011-10-03T19:40:10.185+07:007 คำถามท้าให้คิด..ซีอีโอหมื่นล้าน บุญเกียรติ โชควัฒนา<img alt="" height="200" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/08/11/images/news_img_404353_1.jpg" width="146" />นักธุรกิจใหญ่เครือสหพัฒน์ เชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นคนที่ใช้ความคิดมาก และมากพอจนทำให้ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ<br />
จัดงานเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ สำหรับหนังสือ “ท้าให้คิด ท้าให้เชื่อ” ผลงานล่าสุดของซีอีโอคิดบวก บุญเกียรติ โชควัฒนา นักธุรกิจระดับหมื่นล้าน บมจ.ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งจับปากกาเขียนเรื่องแนวคิดบวกและทฤษฎีความเชื่อความสำเร็จมาแล้วหลาย<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
นักธุรกิจใหญ่เครือสหพัฒน์ เชื่อว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นคนที่ใช้ความคิดมาก และมากพอจนทำให้ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ การคิดบวกทำให้จิตเปิดกว้างไวต่อการรับรู้ทั้งในสิ่งที่ดีและไม่ดี เมื่อเราคิดบวกบ่อยๆ จะเกิดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับตนเองและองค์กร<br />
ทฤษฎีความเชื่อง่ายๆ ของเขามีอยู่ว่า ถ้ามีใครมาบอกหรือสอนอะไรเรา ให้เราเชื่อไว้ก่อน ถ้าตราบใดสิ่งที่เชื่อนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนกับใคร การเปิดใจรับฟังและนำเอาสิ่งที่รับฟังเข้ามาไว้ในการรับรู้น่าจะดีกว่าปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่ถูก ใช้จิตของเรารับฟังและคิดตาม ทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง และสรุปว่าน่าเชื่อหรือไม่ หรือรับเอามาเป็นความรู้ หรือเป็นหลักคิดให้กับตัวเราได้อย่างไรบ้าง โดยเจ้าตัวยังได้ตอบคำถามถึงแนวความคิดในการท้าทายตนเองและองค์กรไว้อย่างน่า<span style="background-color: white;">สนใจ </span><br />
<span style="background-color: white; color: blue;">แนวความคิดบวกของคุณบุญเกียรติ ได้มาจากไหน ?</span> คุณพ่อเป็นคนตั้ง mind-set ให้ คนทำให้ผมมีความคิดบวก เป็นคน<span style="color: #444444;">ช่าง</span>คิด คือ คุณพ่อ (ดร.เทียม โชควัฒนา) แต่คนช่างคิด กับคิดมาก ไม่เหมือนกัน คิดมาก คือ คนที่คิดนู่นคิดนี้ คิดไปเรื่อยๆ ไม่จบ เอาอันนู้นมาปะอันนี้ แต่คนช่างคิด จะคิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อยอดออกไปได้ การคิดที่ถูกต้อง คือ เราต้องมีกระบวนการคิด เมื่อเราได้ยินเรื่องอะไรมา หรือไปอ่านหนังสือมา เราก็นำมาประยุกต์ นึกถึงสิ่งที่ได้ยิน หรือได้อ่านมา ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘recall’ แต่ถ้าคิดก็คือ ‘think’ แต่เราควรจะคิดอย่างลึกซึ้งก็คือ ‘concentrate’ การคิดอย่างลึกซึ้งต้องมีกระบวนการ กระบวนการอย่างแรกที่เกิดขึ้น คือการตั้งเป้า คิดว่าทำอย่างไรถึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ<br />
อยากให้ช่วยนิยามคำว่า mind-set มีความสำคัญกับการไปถึงเป้าหมายความสำเร็จได้อย่างไร คนเรามี mind-set เต็มไปหมด mind-set คือสิ่งที่เราได้เจอ สิ่งที่เราสัมผัส สิ่งที่เรารับรู้ทั้งหลายทั้งปวง เราก็มักจะยึดติดอยู่กับมัน ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง หรือจะแปลตรงๆ ว่า “จิตกำหนด” ถ้าเรามี mind-setที่เป็นบวก ก็ดีอยู่แล้ว ให้เก็บเอาไว้ แต่คนส่วนใหญ่จะมี mind-set เป็นลบเยอะ ถ้า mind-set เล็กๆ ไม่มีผลต่อตัวเอง ต่อคนอื่น ไม่เป็นไร แต่ถ้า mind-set ที่ใหญ่ ทำให้เราไม่เจริญก้าวหน้า ทำให้เราและคนอื่นเดือดร้อน เราต้องเปลี่ยน mind-set นั่น ต้องมองเห็นตัวเองก่อนว่าเรามี mind-set ที่เป็นลบ ต้องหมั่นทบทวนตัวเองและมีสติอยู่ตลอดเวลา ต้องแยกแยะความคิดลบออกไป แล้วเราจะสามารถเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวเองได้<br />
<span style="color: blue;">ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ในฐานะนักธุรกิจผู้บริหารเครือสหพัฒน์ มีการท้าทายองค์กรให้เจริญเติบโตไปอย่างไรบ้าง </span> เริ่มต้นด้วยการท้าทายตนเองก่อนว่า เราต้องฟันฝ่าเศรษฐกิจเช่นนี้ไปได้อย่างไม่มีเงื่อนไข การที่เราท้าทายตนเองอย่างนี้ก็จะทำให้เราคิดหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้เราทำได้จริงๆ ตามที่เราท้าทายตัวเองไว้ เมื่อเราคิดวิธีการต่างๆ ได้มากถึงระดับหนึ่งแล้ว เราก็จะทำให้ผู้บริหารในทุกระดับเกิดความเชื่อมั่นว่า มันเป็นไปได้ และทุกครั้งที่เราฟันฝ่าเศรษฐกิจไปได้แล้ว เราก็จะเกิดศักยภาพเพิ่มขึ้น และสามารถเอาศักยภาพที่เพิ่มขึ้นนี้มาสร้างความเจริญเติบโตให้องค์กรต่อๆ ไปอีก<br />
ได้ยินว่าคุณบุญเกียรติไม่เคยโกรธใครเลยมาเป็น 10 ปีแล้ว ทุกคนทำถูกใจหมดเลยหรือ ?<br />
ไม่ถูกใจก็ไม่โกรธ ถ้าเรามัวแต่คิดว่า คนอื่นทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เราก็จะเกิดอารมณ์โกรธ แต่ถ้าเราใช้ความเข้าใจคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา เราไม่สามารถทำอะไรถูกใจใครได้หมด ตัวเราเองยังทำถูกใจตัวเองไม่ได้เลย แล้วนับประสาอะไรจะไปทำถูกใจคนอื่น นอกจากนี้ เราต้องมีเมตตา รู้จักให้อภัยและปล่อยวาง ถ้าทำได้เช่นนี้ เราก็จะไม่เกิดอารมณ์ ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ<br />
<span style="color: blue;">ถ้าเรามีเจ้านาย หรือลูกน้องที่ทำงานเก่ง แต่ความคิดติดลบ จะช่วยเขาอย่างไร</span> <br />
ต้องมีความเมตตา คนที่คิดบวก ไม่ได้หมายความว่าต้องคิดบวกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ต้องมีความคิดบวกมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ การคิดบวกมีสามระดับ คือคิดบวกต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสถานการณ์ ถ้าเราคิดบวกได้ครบทั้งสามประเภท คนๆ นั้นจะสามารถเจริญก้าวหน้าได้ คนรอบข้างก็มีความสุข องค์กรของเขาก็จะเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ การคิดบวกมีพลังมาก คิดดีก่อให้เกิดการเหนี่ยวนำพลังที่ดี กระทำแต่สิ่งที่ดี และสามารถสร้างแรงผลักดันให้เกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ <br />
<span style="color: blue;">ในสภาพสังคมที่มีความแตกแยก คนไทยจำเป็นต้องคิดท้าทายตัวเองในเรื่องใดมากที่สุด</span> <br />
คนไทยต้องคิดและท้าทายตนเองว่า ไม่ว่าสภาพสังคมจะแตกแยกอย่างไร ตัวเราเองก็จะอยู่ในสังคมนั้นได้อย่างมีความสุขและมีความเจริญก้าวหน้าได้ด้วย ซึ่งจะดีกว่าคนที่ชอบเอาปัญหาของสังคมมาเป็นปัญหาของตนเอง ทำให้เกิดความทุกข์โดยไม่จำเป็น แต่เราควรที่จะคิดที่จะวางตนเองให้เหมาะสมที่จะไม่ทำให้สังคมแตกแยกมากยิ่งขึ้นไปอีก<br />
มีเรื่องใดอีกบ้างที่ต้องการท้าทายตัวเองในอนาคต <br />
ที่จริงแล้วผมมีเรื่องท้าทายตนเองหลายเรื่องในอนาคต เรื่องหนึ่งก็คือ การที่จะทำให้บริษัทในเครือสหพัฒน์มีอายุเกิน 100 ปี ตามเจตนารมณ์ของคุณพ่อของผม ดร.เทียม โชควัฒนา แต่เรื่องที่ท้าทายที่สุดของผมก็คือ การทำให้ตนเองหลุดพ้นจากวัฏสงสารให้ได้ในชาตินี้ คือ ไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว<br />
---------------------------------นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-8840234829209766692011-08-08T19:00:00.001+07:002011-08-07T20:13:06.769+07:00ดาวูดี โบห์รา แขกตึกขาว..กับตำนานพ่อค้าอินเดีย<img alt="" height="141" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/07/27/images/news_img_402083_1.jpg" width="200" /><br />
<span style="font-size: x-small;"> เรื่อง : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง </span> <span style="color: blue;"> ตามรอยวิถี แขกตึกขาว เจ้าของตำนานบ้านอับดุลราฮิม ห้างไนติงเกล ห้างขายผ้ามัสคาตี ฯลฯ การเดินทางของพ่อค้าอินเดียโพ้นทะเล เชื้อสายมุสลิมดาวูดี โบห์ราที่สร้างตำนานเสื่อผืนหมอนใบเดินทางปักธงค้าขายทั่วทุกมุมโลก</span> <br />
<a name='more'></a> - 1 - <br />
เรือข้ามฟากเคลื่อนตัวช้าๆ มุ่งหน้าสู่ฝั่งราชวงศ์ ภาพมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปีที่ซ่อนตัวอยู่ใน ดงไม้ใกล้ท่าดินแดง ค่อยๆ ไกลออกไปสุดสายตา เช่นเดียวกับเรื่องราวของ “แขกตึกขาว” พ่อค้ามุสลิมชาวอินเดียที่จางหายไปกับเงาอดีตของตลาดมิ่งเมือง และย่านเก่าพาหุรัด หาก “ดาวูดี โบห์รา” รุ่นหลังนำโดย ระบิล พรพัฒน์กุล ทายาทรุ่นที่ 3 ของ ตระกูลโตฟาฟรอส ไม่ได้สืบทอดประวัติศาสตร์เหล่านี้สู่สังคมภายนอก ในงานเสวนาแขกตึกขาวกับเรื่องราวการค้าในสยาม ร่วมกับมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ที่ร้านหนังสือริมขอบฟ้า<br />
<span style="color: blue;"> หลายคนรู้จักแต่ชื่อตึกอับดุลราฮิมที่ตั้งตระหง่านย่านพระราม 4 รู้จักห้างไนติงเกล โอลิมปิค ห้าง เก่าแก่คลาสสิคตรงข้ามดิโอลด์สยาม</span> แต่น้อยคนที่จะรู้จักเรื่องราวความเป็นมาของตระกูลพ่อค้าอินเดียเก่าแก่กลุ่มมุสลิมเชื้อสายดาวูดี โบราห์ ที่เข้ามา ตั้งรกรากขยายเครือข่ายการค้าในไทยมากว่า 100 ปี<br />
“<span style="color: blue;">คำว่า ‘โบห์รา’ มาจากภาษากุจราต แปลว่าพ่อค้า</span> พวกเราเป็นเชื้อสายพ่อค้าที่เดินทางไปค้าขายตามที่ต่างๆ ทั่วโลก ไม่ต่างจากพ่อค้าจีน ปัจจุบันมีมุสลิมดาวูดีโบห์ราทั่วโลกกระจายอยู่นับล้านคน ในกว่า 40 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นใน อินเดีย ซึ่งเป็น เมืองศูนย์กลาง ปากีสถาน เยเมน ซีเรีย อิรัค ซาอุดิอารเบีย ดูไบ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อียิปต์ แอฟริกาใต้ ไทย พม่า มาเลเซีย ฮ่องกง จีน และแทบทุกเมืองสำคัญของโลก” ระบิลหนุ่มเชื้อสายดาวูดีโบห์รา วัย 52 ปี ลำดับเรื่องราวความเป็นมาของบรรพบุรุษที่ใช้เวลาสืบค้นมานานกว่า 20 ปี ผ่านการปะติดปะต่อคำบอกเล่า เอกสาร ภาพถ่ายเก่าๆ ในอดีต ป้ายหินหน้าหลุมฟังศพ ฯลฯ<br />
<span style="color: blue;">เล่าสืบต่อกันมาว่าพ่อค้ามุสลิมอินเดีย เริ่ม เดินทางเข้ามาทำการค้าในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 ราวๆ ต้นพ.ศ.2400</span> โดยตั้งบ้านเรือน อาศัยอยู่บริเวณย่านราชวงศ์ เยาวราช พาหุรัด ในฝั่งกรุงเทพฯ และบริเวณหลังวัดอนงคาราม ในฝั่งธนบุรี โดยอาจแบ่งชาวอินเดียในย่านนี้ได้เป็นสองพวก คือ ย่านตึกแดง และย่านตึกขาว โดยย่านตึกแดงเป็นพวกชาวอินเดียที่ส่วนมากมาจาก ตำบลแรนเดอร์ ซึ่งเป็นพวกมุสลิมสายสุหนี่ (ซุนนีย์) ที่เป็นพวกต้นตระกูลนานา และตระกูลอื่นๆ<br />
ส่วนย่านตึกขาวนั้น เป็นพวกมุสลิมสายชีอะห์ เรียกพวกตนเองว่า “มุอ์มิน ดาวูดีโบห์รา” ส่วนมากมาจากรัฐกุจราต ทางตะวันตกของอินเดีย ทั้งจากเมืองสุรัต ซิ๊ดปุร แคมบ๊าต อะห์เมดาบ๊าด โดรายี โดยปรากฎหลักฐานเก่าแก่จากภาพแขกสะระบั่นทองที่ผนังวัดปทุมวนาราม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4<br />
พ่อค้าโบห์ราจากอินเดียเหล่านี้มีทั้งการนำเข้า ผ้าแพรภัณฑ์ เครื่องประดับ ดิ้นเงินดิ้นทองนำเข้าจากต่างประเทศ เครื่องเงิน เพชรพลอย ค้าเครื่องเทศ สมุนไพร เครื่องหอม น้ำอบ ซึ่งส่วนมากจะตั้ง ร้านค้าอยู่ในบริเวณถนน เจริญกรุง พาหุรัด และตลาดมิ่งเมือง ถนนจักรเพชร อนุวงศ์ วัดเกาะ<br />
<span style="color: blue;">“สมัยก่อนย่านพาหุรัด จากหัวมุมเลี้ยงลงมาเรื่อยๆ จะเป็นร้านของดาวูดีโบราห์ทั้งนั้น ย่านเก่า ของพวกดาวูดีจะอยู่แถวๆ เฉลิมกรุง ตรงข้ามตลาดมิ่งเมือง แต่ปัจจุบันได้โยกย้ายเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว”</span> หลายตระกูลพ่อค้าที่สำคัญๆ เช่น ห้าง อับดุลราฮิม เป็นผู้นำเข้าสินค้าให้กับเจ้านาย ต้นตระกูลคือ ฮะซัน อาลี อับดุลราฮิม (เอช อับดุลราฮิม) และภรรยา-นางเชย เจ้าของบ้านอับดุลราฮิม ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับตึกอับดุลราฮิมในปัจจุบัน <br />
<span style="color: blue;"> “ในอดีต บ้านศาลาแดงของ เอช อัลดุลราฮิม เป็นที่ชุมนุมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองต่างๆ ที่ไม่ใช่ด้านศาสนกิจ ปัจจุบันมีทายาทไม่กี่คน และได้ทูลเกล้าฯ ถวายบ้านกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”</span> นอกจากห้างอับดุลราฮิมแล้ว ยังมีร้านโมกุล ร้านค้าเครื่องเงินบริเวณ สี่กั๊กพระยาศรี จำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเงินแท้ ราคาสูงคุณภาพดี สำหรับเจ้านายและบุคคลชั้นสูง<br />
ส่วนตระกูลโตฟาฟรอส และกีลิตวาลา ค้าขายเครื่องเทศ หม้อและภาชนะ, ห้างวาสีค้าเครื่องเงิน, มัสกาตีค้า ผ้านำเข้า, กาติ๊บ ค้าเครื่องเขียนและมีด, ห้างขายยาบอมใบ ค้าขายสบู่ยา และปัจจุบันหันมาจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือการแพทย์, กลุ่ม ไนติงเกล โอลิมปิคส์ ค้าขายเครื่องกีฬา เป็นต้น<br />
ส่วนธุรกิจที่พ่อค้าอินเดียโบราห์เข้ามาทำธุรกิจมากที่สุด คือ ร้านขายลูกปัด เครื่องประดับและแพรพรรณในย่านพาหุรัด เปิดร้านติดๆ กัน ได้แก่ นัญจมีสโตร์, แคมเบย์สโตร์ (คัมบ๊าดวาลา), โมตีวาลา, อี เอช บัดรุดดิน, โมฮัมมัด (กัลกัตตาวาลา) ดาวูดี สโตร์, ไตเย็บใหม่ เป็นต้น พ่อค้ากลุ่มนี้ แม้จะค้าขายแบบเดียวกัน แข่งขันกันแต่ไม่ได้มองว่าเป็นศัตรูการค้า แต่มองว่าเป็นการร่วมกันค้าขาย เปิดหลายๆ ร้านเพื่อสร้างตลาดให้คึกคัก หลายครอบครัวยังสนิทสนมและลูกหลานแต่งงานกัน<br />
นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายเครื่องเขียน ร้าน โมฮัมมัด ของพวกโมรา ร้านทวีทรัพย์ ของพวก นูรใบ (นามสกุลไทย คือ ภิรมย์สวัสดิ์) ร้านสมุนไพรของกลุ่มรัตลามวาลาที่เชียงใหม่ และร้านค้าของพวกฟีดาอาลีที่เพชรบุรี เป็นต้น<br />
<span style="color: blue;"> “พ่อค้าอินเดียหลายคนเข้ามาเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบเช่นเดียวกันกับพ่อค้าจีน โดยได้รับความช่วยเหลือให้ที่อยู่ที่กินจากคนที่เข้ามาอยู่ก่อน ช่วยเหลือเจือจุนในกลุ่มมุสลิมด้วยกัน”</span> - 2 -<br />
นอกจากความโดดเด่นของการเป็นสายเลือดพ่อค้านักเดินทาง ความเชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ การกำหนดปฏิทินตามการเคลื่อนตัวของดวงดาว มุสลิมดาวูดีโบห์รา ยังเป็นมุสลิมที่เคร่งศาสนา ด้วยเอกลักษณ์การแต่งกาย ชายในชุดขาวพร้อมหมวกขลิบทอง ส่วนสตรีมีรีดาคลุมศีรษะ รวมถึงเอกลักษณ์ของภาษาเฉพาะของตนเองที่เรียกว่า ภาษาดาวัต และวิถีการกินแบบดาวูดีโบห์รา<br />
<span style="background-color: white; color: blue;"> “พวกเราเป็นมุสลิมที่ปฏิบัติศาสนกิจค่อนข้างเคร่ง ไปมัสยิดกันเฉลี่ยปีหนึ่งประมาณ 150 -200 วัน เรียกว่าไปสุเหร่าทุกๆ สองวัน”</span> ระบิลบอกเช่นนั้น <br />
มัสยิดเซฟี หรือตึกขาว มัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ย่านธนบุรี ริมฝั่งเจ้าพระยา ตรงข้ามท่า ราชวงศ์ จึงถือเป็นศูนย์รวมชีวิตของชาวดาวูดีโบห์รา แม้ว่าจะตั้งบ้านเรือนอยู่กระจัดกระจาย แต่เมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนาจะนัดมารวมตัวกันที่นี่<br />
จุดเริ่มต้นของการก่อสร้างมัสยิด เริ่มขึ้นจาก ริเริ่มของ กากายี ซายาอุดดิน โมฮัมมัด อาลี พ่อค้า เพชรพลอยที่เดินทางเข้ามาค้าขายกับเจ้านายใน สมัยนั้น ติดต่อขอซื้อที่ดินบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงข้ามท่าราชวงศ์ ด้านฝั่งธนบุรีจากเจ้าพระยา- รัตนบดินทร์ (รอด กัลยาณมิตร) โดยก่อสร้างมัสยิดเสร็จในปี 2453<br />
คำว่าเซฟี ซึ่งเป็นชื่อตั้งมัสยิด หมายถึงดาบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของ ดาวูดีโบห์รา ส่วนตัวมัสยิดไม่ได้เป็นสีขาว แต่เรียกชื่อตึกขาวตามสีของอาคารในย่านนี้ ซึ่งทาสีขาวเป็นส่วนใหญ่ ตัวมัสยิดออกแบบเป็นอาคารสี่เหลี่ยม ครึ่งตึกครึ่งไม้ สร้างจากศิลปะและรูปแบบจากอินเดีย โดยช่างก่อสร้างชาวจีนยุคเดียวกับพระที่นั่งอนันตสมาคม<br />
<span style="color: blue;">“เดิมเราใช้การสัญจรทางเรือเพื่อมาที่มัสยิดเซฟี ต่อมาสมัยหนึ่งขยับขยายไปเช่าพื้นที่ทำเป็น สุเหร่าเล็กๆ สุเหร่าบ้านหม้อบนพื้นที่เช่าแถวตลาดมิ่งเมืองเพื่อความสะดวก ซึ่งต่อมาพื้นที่แถวนั้นกลายเป็นดิโอลด์สยาม หลังจากรื้อตลาดมิ่งเมือง ปัจจุบันมัสยิดตึกขาวจึงเป็นศูนย์กลางทำศาสนกิจเพียงแห่งเดียวของมุสลิมดาวูดีโบห์รา”</span> - 3 -<br />
ปัจจุบัน ระบิลเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล โตฟาฟรอส ซึ่งถือเป็นตระกูลใหญ่ที่สุดในมัสยิดเซฟี สมาชิกในตระกูลมีประมาณร้อยกว่าคน บรรดาทายาทส่วนใหญ่ไม่ได้เปิดร้านค้าแล้ว โดยการ ปิดตำนานตลาดมิ่งเมือง ถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านของย่านการค้าของดาวูดีโบห์ราที่เคยเฟื่องฟูในอดีต<br />
“สมัยก่อนย่านดาวูดีโบห์ราจะอยู่แถวเฉลิมกรุง ย่านพาหุรัด และแถวตลาดมิ่งเมืองเก่า สุเหร่า และอาหารการกินก็จะอยู่แถวนี้ สมัยอายุ 10-15 ปี ผมยังเกิดทันยุคสุเหร่าบ้านหม้อ เลิกงานเสร็จ อาบน้ำ ก็มาละหมาดกัน ยังมีชีวิตอยู่กันตรงนั้นอยู่ ซึ่งจะเห็นตลาดการค้ายุคตลาดมิ่งเมือง แต่เมื่อ ยุคสมัยเปลี่ยน การครอบครองที่ดินเปลี่ยน มุสลิมที่นี่ก็กระจายตัวกันออกไปทั่วประเทศ ในกรุงเทพฯ ย้ายไปอยู่แถวประชาอุทิศกันก็เยอะ แถบนั้น กลายเป็นประชาคมมุสลิมใหม่ ที่นั่นมีมุสลิมอยู่หลากหลายกลุ่ม”<br />
ขณะที่รูปแบบการค้าได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ทั้งการมาถึงของห้างสรรพสินค้าไล่มาตั้งแต่ยุคเซ็นทรัลชิดลม ยุคไดมารู จนกระทั่งปัจจุบัน มาถึงยุคดิสเคาน์สโตร์ หลายย่านค้าขายในอดีตกลายเป็นย่านเก่า ทั้งย่านพาหุรัด ย่านบางลำพู รวมไปถึงย่านโบ๊เบ๊ที่กำลังหันเหไปสู่การจัดระเบียบ ในรูปแบบพลาซ่ามากขึ้น<br />
นอกจากยุคสมัยที่เปลี่ยน ตัวสินค้าก็เปลี่ยนไป สมัยก่อนประเทศไทยอาศัยของนำเข้าสำหรับของหรูหรา เครื่องประดับลูกปัด ของมีค่าจากต่างประเทศ ปัจจุบันสินค้าหลายอย่างไม่ต้องนำเข้าแล้ว ทำให้บางสินค้าหายไปตามวัฏสงสาร<br />
“<span style="color: blue;">เดี๋ยวนี้พวกเราไม่ได้สืบทอดอาชีพพ่อค้าแล้ว แต่หันเหความสามารถไปสู่การเป็นโปรเฟสชั่นแนล มากขึ้น เปลี่ยนวิถีไปเป็นหมอ พยาบาล ครู อาจารย์ นักบัญชี ที่ปรึกษา ผู้บริหารบริษัทเอกชน และมีหลายคนที่รับราชการ” </span>ระบิลเล่าถึงการเปลี่ยนผ่านอาชีพใหม่ของทายาทพ่อค้าดาวูดีโบราห์<br />
“รุ่นผมเรียนจบมา ไม่มีใครอยากสืบทอดมรดกการค้าที่มีอยู่ เราไม่ได้คิดว่าจบมหาวิทยาลัยมาแล้ว จะไปเป็นพนักงานขายของในร้านที่มีคุณพ่อ คุณลุงคุมอยู่ แต่เราอยากออกไปมีโลกของเรา สร้างวิถี ของเรา อย่างผมเรียนจบด้านวิศวกรเคมีก็เติบโตไป ทางด้านโพรเฟสชั่นแนล ...จนกระทั่งวันหนึ่งที่ต้องปิดร้าน เพราะเขาจะรื้อตึกมาทำดิโอลด์สยาม ผมไปขนของออกมีเตียงโบราณอันหนึ่งที่คุณปู่นอนตาย ขนกลับมาไว้ที่บ้าน ตอนนั้นเริ่มสะดุดใจอย่างหนึ่ง ว่าเอ๊ะ! มันไม่สืบทอดเลยหรือ มันหายไปไหน แล้วเนี่ย แล้วเรากำลังจะเป็นอะไร จะเป็นคนที่ไม่มีรากหรือเปล่า วันนี้ถ้าผมไม่สืบค้น ไม่เล่าเรื่องนี้ หลายคนอาจไม่รู้เลยว่าเรื่องราวตลาดพาหุรัด ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นอย่างไร แล้ววันหนึ่งมันก็จะหายไป...<br />
ผมเกิดกรุงเทพฯ โตกรุงเทพฯ สิ่งหนึ่งที่เห็น คือคนกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีการรวมตัวกันในชุมชนอย่างแท้จริงเลย เป็นชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ มีเพื่อนเยอะแยะที่เรียนด้วยกันตอนเด็กๆ แต่เราไม่มีความสัมพันธ์ ดังนั้นต้องสร้างเครื่องมือให้ความเป็นชุมชนขยาย อย่างเราหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาศึกษาในโอกาสมัสยิดเซฟีครบรอบร้อยปีก็ จุดประกายให้เกิดการเริ่มแบ่งปัน ถ่ายทอดสืบทอดประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เลือนหายไปให้ คนรุ่นหลังได้เรียนรู้อีกครั้ง คำว่าอนุรักษ์ หลายคนตีความคือการรักษาแบบเดิม แต่จริงๆ มันคือ การหยิบคุณค่า คุณใช้ชีวิตอย่างไร มีความคิดอย่างไร มีความเชื่อ มีวิถีอย่างไร” ทายาทดาวูดีโบห์รารุ่นที่ 3 บอกเช่นนั้น<br />
<span style="color: blue;"> รู้จักมุสลิมดาวูดีโบห์รา</span> ความเป็นมาของมุสลิมดาวูดีโบห์ราเป็นชาวมุสลิมที่สืบทอดความเชื่อจากแนวทางของพวกชีอะห์ ซึ่งแม้ว่าจะเริ่มรากฐานอิสลามจากที่กรุงเมกกะห์และกรุงเมดีนา ในประเทศซาอุดิอารเบีย แต่จากปัญหาการตามล่าช่วงชิงอำนาจการปกครอง ทำให้ต้องอพยพหลบลี้หนีภัยไปทั่วทั้งในแอฟริกาตอนเหนือและประเทศอียิปต์ ก่อกำเนิดเป็นราชวงศ์ฟาติมีที่รุ่งเรือง ต่อมาก็เคลื่อนไปที่ประเทศเยเมน และท้ายที่สุดก็ย้ายรากฐานมาที่ประเทศอินเดียตราบจนถึงปัจจุบัน โดยมีศูนย์กลางอยู่ในรัฐกุจราต ทางภาคตะวันตกของอินเดีย <br />
ชาวมุสลิมดาวูดีโบห์รา มีความเชื่อว่าผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกเขาสืบทอดจากท่านศาสดามูฮัมมัด โดยเชื่อว่าผู้สืบทอดการนำศาสนาอิสลามต่อคือบรรดาอิหม่ามซึ่งเป็นสายเลือดที่ได้รับมอบหมายสืบต่อมาถึง 21 คน จนถึงคนสุดท้ายคืออิหม่ามไตเย็บ ซึ่งหลบเร้นไม่ปรากฏต่อสังคม ทำให้อิหม่ามที่สืบเชื้อสายตรงไม่ปรากฏต่อสังคมตราบจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นหน้าที่การนำศาสนาจึงตกกับดาอีมุตลัก โดยปัจุบัน ดาอีคนที่ 52 คือ ไซเยดนา โมฮัมมัด บุรฮานุดดิน ปัจจุบันอายุครบ100 ปีแล้ว จึงแต่งตั้งดาอีคนที่ 53 คือไซเยดนา มุฟัดดัร ไซฟุดดิน รอทำหน้าที่ต่อ<br />
<span style="color: blue;"> สำหรับในประเทศไทย มีชาวมุสลิมดาวูดีโบห์รา อาศัยอยู่ประมาณ 600 คน โดยอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นส่วนมาก นอกนั้นยังมีกระจายอยู่ที่เชียงใหม่เพชรบุรี ยะลา และนราธิวาส มีศูนย์กลางด้านสถานที่ในการประกอบศาสนกิจ อยู่ที่มัสยิดเซฟี เขตคลองสาน และมีสุสานดาวูดีโบห์รา อยู่ที่เชิงสะพานเจริญพาสน์ ถนนเจริญพาสน์ ฝั่งธนบุรี</span>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-74540654912980402882011-08-08T18:43:00.000+07:002011-08-07T20:12:09.672+07:00ดินเนอร์นี้..มีแต่เศรษฐีระดับประเทศ<img alt="" height="120" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/08/05/images/news_img_403413_1.jpg" width="200" /><br />
<span style="color: blue;">คาดการณ์กันว่าเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีเงินออมในบัญชีอู้ฟู่ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป</span> หรือที่เรียกกันว่ากลุ่ม High Net Worth ในเมืองไทยมีจำนวนราวๆ 18,000 คน ในจำนวนนี้ 500 คนมารวมตัวสังสรรค์กระทบไหล่กันใน<span style="background-color: white;">งาน ‘<span style="color: magenta;">Make A Wish’</span></span><span style="color: magenta;"> </span>ซึ่ง <span style="color: blue;">“คุณปั้น” บัณฑูร ล่ำซำ</span> หัวเรือใหญ่เครือธนาคารกสิกรไทย เชื้อเชิญลูกค้าคนสำคัญมาร่วมดื่มด่ำค่ำคืนสุดพิเศษกับดินเนอร์สุดหรูสไตล์ไชนีส-เวสเทิร์นจากโรงแรมโอเรียนเต็ล เคล้ามิวสิคัลโชว์ชุดพิเศษ “รองเท้าของพ่อ” <br />
<a name='more'></a><br />
โดยมีบรรดาหนุ่มสาว Private Banker คอยทำหน้าที่ดูแลแขกคนสำคัญ ตั้งแต่บริเวณโถงทางเข้างานซึ่งเนรมิตให้เป็น <span style="color: blue;">“Wish Gallery</span>” รวบรวมแรงบันดาลใจชิ้นเอกและของสะสมล้ำค่ำ ทั้งภาพเขียนมูลค่านับสิบล้าของ อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต รถคลาสสิกสุดหรู และกล้องถ่ายรูปยุคโบราณ ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน<br />
ไล่เรียงเฉพาะแขกคนพิเศษที่ร่วมโต๊ะวีไอพี อาทิเช่น <span style="background-color: white; color: blue;">ดร.สุขุม-เมธ์วดี นวพันธ์,พรสิทธิ์-ดร.สุณี ศรีอรทัยกุล,สุรินทร์-สมพร โอสถานุเคราะห์, ฐาปน-ปภัชญา สิริวัฒนภักดี,เจริญ พูลวรลักษณ์,ฤทธิ์ ธีระโกเมน,พิพัฒ พะเนียงเวทย์,ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์,ปราโมทย์ พสวงศ์,ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม,ปัญญา นิรันดร์กุล,ชฎาทิพ จูตระกูล, ศุภลักษณ์ อัมพุช,สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ,หทัยรัตน์ จุฬางกูร,นุชรี อยู่วิทยา ฯลฯ </span> มูลค่าธุรกิจและความมั่งคั่งของเศรษฐีแถวหน้าที่มาชุมนุมในงานเหล่านี้มหาศาลไม่ใช่น้อย หากสิ่งที่มีคุณค่าไม่น้อยไปกว่ากัน คือ พลังแห่งการสร้างสรรค์ หรือ Creative power กับวิญญาณการต่อสู้ หรือ Fighing spirit จากคนที่สร้างธุรกิจจากความฝันเล็กๆ จนกลายเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการจัดงานนี้ตามความตั้งใจของคุณปั้น นอกเหนือไปจากรีแบรนดิ้งบริการ KGroup Private Banking บริหารการเงินส่วนบุคคลให้กับลูกค้าเศรษฐีกลุ่ม High Net Worth ที่มีความมั่งคั่งตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป พร้อมบริการพิเศษตั้งแต่รถลีมูซีนรับ-ส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินต่างประเทศ บริการเลขาฯส่วนตัว 24 ชั่วโมงทั่วโลก เช่น จัดหาสินค้าหายาก จัดส่งของขวัญ บริการจองคิวนัดแพทย์ สำรองการเข้าใช้สนามกอล์ฟ เป็นต้น <br />
เป็นอีกหนึ่งสีสันที่ยักษ์ใหญ่สถาบันการเงินงัดกลยุทธ์มัดใจลูกค้า ในวันที่เศรษฐีผู้มั่งคั่งหลายคนเริ่มต้องชั่งใจแล้วว่าจะนำเงินไปลงทุนอะไรดี ในยุคที่สถาบันรับประกันเงินฝากจะลดเพดานการคุ้มครองเงินฝากเหลือไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อราย ดีเดย์ตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป <br />
<span style="color: blue;"> ยอดวิชาจากพ่อ</span><br />
ฉากปะทะอารมณ์ระหว่างคู่พ่อลูกนักธุรกิจเปิดม่านละครเวทีในงานเลี้ยงค่ำคืนพิเศษ ดุเดือดและตึงเครียดไม่น้อยไปกว่าช่วงหนึ่งในชีวิตวัยหนุ่มของ “คุณปั้น” บัณฑูร ล่ำซำ ทายาทที่รับช่วงต่อธุรกิจจนกลายเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเครือกสิกรไทย เปิดใจในปาฐกถาพิเศษ หยั่งลึกถึงความรู้สึกก้นบึ้งของเจ้าของธุรกิจนับ 500 คนในงาน ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งเป็นรุ่นบุกเบิกสร้างธุรกิจ และอีกกลุ่มหนึ่งคือทายาทที่ต้องสืบทอดความมั่งคั่งและแรงกดดันสร้างธุรกิจต่อ<br />
<span style="color: blue;">“..ในชีวิตของผมก็ได้เจอเหตุการณ์ที่ต้องรับช่วง ได้เข้าใจว่าความกดดันของผู้ที่ส่งต่อกับผู้ที่รับมีกันทั้งสองฝ่าย สมัยก่อนผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อผมถึงเคี่ยวเข็ญจะต้องไปเรียนวิชานั้นวิชานี้ ต้องเรียนวิศวะ ต้องเรียนไฟแนนซ์ มาร์เก็ตติ้ง หลายอย่างผมไม่เห็นด้วย เพราะไม่ชอบถูกบังคับ..ผมก็มีปฏิกิริยาเหมือนกัน แต่ก็ทำตาม”</span> คุณปั้นเปิดใจเล่าถึงช่วงต้นๆ ของชีวิตการทำงานซึ่งเคยมีความตึงเครียดระหว่างคนสองรุ่น รุนแรงไม่น้อยไปกว่าอารมณ์ที่สะท้อนในละครเวที <br />
“ ไม่มีใครรู้ว่าผมเคยหนีออกจากบ้าน ในช่วงที่ทำงานที่กสิกรไทย จากความกดดัน..พ่ออยากให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ แต่พอวันนี้เรามารับช่วง..อายุมากขึ้น หันไปดูหลายอย่างก็เข้าใจว่า ทำไมพ่ออยากให้ทำอย่างนั้นหลายเรื่องต้องยอมรับในวิสัยทัศน์”<br />
คุณปั้นเล่าถึงตัวอย่างวิชาหนึ่งที่ยังได้ใช้จนติดตัวตัวมาถึงวันนี้ คือ วิชาพูดต่อหน้าชุมชน ในชีวิตการทำงานปัจจุบันใช้มากกว่าวิชาอื่นทั้งหมด เป็นวิชาทรงพลังที่อยากแนะนำผู้บริหารที่ก้าวเข้ามารับช่วงต่อ รวมทั้งฝากถึงคนรุ่นหลังซึ่งอาจมีกดดันในความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับผู้ใหญ่ ที่สุดแล้ววันหนึ่งข้างหน้าจะพบว่าหลายๆ เรื่องมาจากวิสัยทัศน์ ความหวังดี และความรักอย่างแท้จริง <br />
“<span style="background-color: blue;"> คุณพ่อผมจากไปเกือบ 20 ปีแล้ว ตอนนั้นยังไม่ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจปี 1997 ด้วยซ้ำ ไม่ได้เห็นรีเอ็นจิเนียริ่ง ไม่ได้เห็นแม้กระทั่งตึกสำนักงานใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ได้เห็นแม้กระทั่งความเป็นเครือของธนาคารกสิกรไทย แต่ถ้าวันนี้เขามองย้อนกลับมาจากที่ไหนสักแห่งว่าทีมงานของเครือกสิกรไทยสามารถสร้างธุรกิจและความมั่นใจให้กับลูกค้ามาใช้บริการได้ ผมหวังว่าเขาคงดีใจ...”</span>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1308284185968400104.post-78591122856899882142011-08-07T20:35:00.003+07:002011-08-07T20:37:40.797+07:00ยอดมรดก11ตระกูลดัง<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/01/10/images/news_img_5547_3.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="135" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/01/10/images/news_img_5547_3.jpg" width="200" /></a> <span style="color: black;">เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ต้อนรับต้นปีเมื่อ <span style="background-color: white; color: magenta;">11 ตระกูลดังของเมืองไทย</span> พร้อมใจกันนำมรดกล้ำค่าประจำตระกูล ออกมาโชว์ร่วมกันครั้งแรก</span><span style="color: magenta;"> </span><br />
<a name='more'></a><br />
<span style="color: blue;">ในงานเฉลิมฉลองความสำเร็จ 60 ปี ไทยสมุทรประกันชีวิต</span><span style="color: black;">มิวเซียมสยาม ท่าเตียน พร้อมร่วมโพสท่าเป็นแบบกิตติมศักดิ์ ในนิทรรศการภาพถ่าย ที่กดชัตเตอร์โดยช่างภาพพอร์ตเทรทคนดัง นิติกร กรัยวิเชียร</span> หลายตระกูลที่ตอบรับคำเชิญมาร่วมงานนี้สนิทสนมคุ้นเคยกันดีกับคนในครอบครัว 'อัสสกุล' ตระกูลใหญ่ที่เป็นเจ้าของอาณาจักรไทยสมุทรประกันชีวิต โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และอีกสารพัดธุรกิจในเครือโอเชี่ยนกรุ๊ป<br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;">11 ตระกูลที่ร่วมแสดงสมบัติล้ำค่าในงานนี้ มีทั้งศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ กับนาฬิกาพก Patek Philippe มรดกตกทอดจากเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5, ภัทรา ศิลาอ่อน กับมรดกที่ไม่ใช่สิ่งของเครื่องประดับ แต่เป็น 'ใบปริญญาบัตร' เพราะความรู้ และการศึกษาคือ มรดกที่พ่อแม่ให้ความสำคัญ, ยุวดี จิราธิวัฒน์ ที่มี 'คำสอน' จากคุณพ่อ สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ เจ้าของตำนานความยิ่งใหญ่ของเซ็นทรัล มอบให้แต่เล็กจนโต</span> ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กับ 'นาฬิกาโบราณ' เรือนใหญ่ ที่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้กับสมเด็จทวด คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่แผงความหมายถึงพระราชประสงค์ที่ต้องการให้ตั้งนาฬิกาไว้ ณ วังวรดิศเพื่อสอนให้ชาวสยามในสมัยนั้น รู้จักเรื่องความตรงต่อเวลา, ชาย ศรีวิกรม์ กับ'ใบหุ้นของบริษัท' สยามอินเตอร์คอน ที่คุณปู่และคุณพ่อ ก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 44 ปีที่แล้วเป็นมรดกที่แสดงถึงโอกาสและความรับผิดชอบของตระกูล<br />
<span style="background-color: white;"> <span style="color: magenta;"> กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร กับโน้ตสุดท้าย ที่คุณแม่เขียนและมอบไว้ให้ก่อนเสียชีวิต, สุภาพรรณ-ณัฐปรี พิชัยณรรงค์สงคราม กับต่างหูที่รัชกาลที่ 6 พระราชทานให้กับคุณแม่, กีรติ-วีรวุฒิ-นุสรา อัสสกุล กับแท่นแก้วจารึกคำสอนของพ่อ, วิภาดา โทณวณิก-พิมพ์สิริ ณ สงขลา กับพานแจกันมรดกตกทอดตั้งแต่สมัยเจ้าจอมมารดาเลื่อนในรัชกาลที่ 5</span> และท่านผู้หญิงวิวรรณ เศรษฐบุตร</span> ภูมิใจใน "ฆ้อนแก้โรว์" ของตระกุลวรรณที่ท่านพ่อ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ คนไทยคนแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาสหประชาชาติ มอบให้ไว้ ฆ้อนนี้จะใช้เคาะ เมื่อจะลงมติในสหประชาชาติ จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของการค้ำจุนสันติภาพในโลก<br />
<span style="color: blue;">ส่วนจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ขอนำไม้ตะพดประจำตัวที่คุณปู่ พระยาภิรมย์ภักดี เคยใช้ที่ทุกวันนี้ยังผูกพันอยู่ในใจเสมอ แม้จะเกิดไม่ทันได้พบคุณปู่ก็ตาม นอกจากจะใช้เป็นไม้เท้า ไม้ตะพดยังสามารถเป็นอาวุธได้อีกด้วย มรดกชิ้นนี้ จึงเป็นเรื่องจากลูกชายสู่ลูกชายจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลภิรมย์ภักดี</span> มรดกสืบทอดประจำแต่ละตระกูลสูงค่าเกินกว่าจะประเมินด้วยตัวเลข เพราะมีความหมายทางใจจากรุ่นสู่รุ่น แต่ละชิ้นล้วนมีความพิเศษ และหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว<br />
และที่น่าสนใจ คือ หลายๆ ตระกูลมหาเศรษฐี ธุรกิจใหญ่ของเมืองไทย ต่างยกให้ยอดของมรดกล้ำค่าที่สุด คือ คำสอนสั่ง จากผู้อาวุโสที่จากไปแล้ว แต่มอบหลักคิดๆ ให้รุ่นลูกรุ่นหลานไว้ยึดมั่น<br />
ไม่ว่าจะเป็น แง่คิดการดำเนินชีวิต การทำธุรกิจที่เจ้าสัวสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ถ่ายทอดให้กับลูกหลาน ที่รวบรวมไว้อยู่ในหนังสือเล่มโต ที่เรียกได้ว่าเล่มนี้ไม่ต่างหนังสือสามัญประจำตระกูลที่ทุกคนในครอบครัวจิราธิวัฒน์จะต้องมีกันไว้ทุกบ้าน<br />
<span style="color: blue;"> "เงินทองเป็นสิ่งที่หาได้ แต่ก็หมดไปได้เช่นกัน แต่คำสอน ถ้าเราพร่ำสอนลูกหลานเสมอ และถือปฏิบัติเป็นตัวอย่าง คำสอนนี้ ก็จะติดตัวไปกับพวกเราตลอดไป" ยุวดี จิราธิวัฒน์ เจ้าแม่เซ็นทรัลชิดลม ถ่ายทอดมุมมองเอาไว้เช่นนั้น</span> เช่นเดียวกับอีกสมบัติชิ้นสำคัญที่กินใจจนมครเห็นอาจต้องน้ำตาซึม เพราะเป็นมรดกกระดาษโน้ตใบเล็กๆ ของสมาชิกครอบครัวสุริยสัตย์ ที่ กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เลือกมาจัดแสดง<br />
<span style="color: magenta;">เพราะบนหัวกระดาษเขียนด้วยลายมือว่า Last Note ! เป็นโน้ตที่ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ พยายามจับปากกานั่งเขียนริมหน้าต่างในโรงพยาบาล กลั่นความคิดที่มีอยู่ในช่วงใกล้ถึงวาระสุดท้าย ด้วยคำสอนที่เน้นถึง "ความรักและความสามัคคีที่มีต่อกัน ไม่ทอดทิ้งกัน"</span> ปิดท้ายกันด้วยไฮไลต์มรดกตระกูลสำคัญของงาน ซึ่งคงเป็นใครไม่ได้ นั่นคือเจ้าภาพของงานนี้ ที่สามศรีพี่น้องหัวเรือใหญ่ตระกูลอัสสกุล กีรติ-วีรวุฒิ-นุสรา อัสสกุล ร่วมกันถ่ายทอดความผูกพันถึงสมบัติล้ำค่าที่สุด ที่กฤษณ์ อัสสกุล ผู้พ่อที่สร้างความยิ่งใหญ่ของไทยสมุทรประกันชีวิต<br />
<span style="color: blue;"> นั่นคือ มรดก "คำสอนของพ่อ" ที่จารึกอยู่บนแท่นแก้ว และบอกเอาไว้ว่า "เหมือนกับลูก เหมือนกับน้อง" มอบไว้เตือนใจให้กับลูกๆ และพนักงานทุกคน</span><br />
"คำสอนที่สำคัญของคุณพ่อ ฟังดูง่าย แต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง คือ คำว่าให้รักลูกน้องเหมือนลูกและเหมือนน้อง นั่นคือเราจะต้องคิดเป็นห่วงว่าเขาได้รับความรู้ ได้พัฒนาไหม มีความสุขไหม ครอบครัวเขามีปัญหาไหม เรามีทางจะช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ไหม จากคำสอนเหล่านี้ทำให้พนักงานมีความเป็น Ocean Spirit สูงมาก นั่นคือมีความรักในองค์กร พร้อมจะทุ่มเทให้บริษัทตลอดเวลา ไม่เลือกงาน ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่" นุสรา อัสสกุล ถ่ายทอดไว้เช่นนั้น<br />
<span style="color: blue;"> ยอดแห่งมรดกจึงไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง หากแต่เป็นคำสอนที่จะคงอยู่ในใจไปตราบเท่านาน แม้จะก้าวข้ามผ่านยุคสมัยและความเปลี่ยนแปลง จากรุ่นสู่รุ่น...และถึงวันนี้จะไม่มีเสียงที่ดังกังวานของ กฤษณ์ อัสสกุล เจ้าตำนานไทยสมุทรประกันชีวิต เหมือนเมื่อครั้งวันวาน แต่ปณิธานของเขาจะยังคงอยู่ และไม่เคยจากไปไหน--จบ--</span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"> ที่</div>นกกระแต้วhttp://www.blogger.com/profile/18180901923864855569noreply@blogger.com0