วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เปิดใจ ลำไย กันทาเปี้ย สุดยอดคุณแม่


โดย : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง

          วันแม่ปีนี้ ยังมี "คุณแม่" อีกหลายคนที่อาจไม่ได้รับยกย่องเป็นแม่ดีเด่น ไม่เคยได้รางวัลเชิดชูเกียรติสาขาใดๆ แต่วีรกรรมเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ทำให้เราต้องยกนิ้วให้กับ "เดอะเทรนเนอร์ตัวจริง" พี่เลี้ยงนอกเวทีที่คอยเคียงข้างชีวิตหนึ่งซึ่งเกิดมา "พิเศษ" กว่าเด็กอื่นๆ ให้สามารถอยู่ร่วมในสังคม บนความหวังสูงสุดของแม่ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ไม่มีเรา เขาต้องอยู่ได้"


          ยังพอจำโฆษณาแม่กับลูกหูหนวกที่เรียนจบแล้วตระเวนหางานทำ จนสุดท้ายได้เป็นเจ้าหน้าที่ Call Center ของหนังโฆษณาเรื่องหนึ่ง ที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของ ดุ๊ก-กฤษฎา กันทาเปี้ย และ แม่ลำไย กันทาเปี้ย ทั้งสองคนแม่ลูกยังเป็นคนเดียวกับนักแสดงจริงที่เล่นในหนังโฆษณาชุดนี้ด้วย 

          "เดินไปไหนคนรู้จักเยอะขึ้น ทักทั้งซอยว่าใช่แม่ลูกที่ถ่ายโฆษณาหรือเปล่า" ลำไย กันทาเปี้ย คุณแม่ของดุ๊กอมยิ้มเล่าแบบปลื้มๆ แม้เหตุการณ์ในหนังโฆษณา จะผ่านมาถึง 2 ปีแล้วแต่เธอยังจำได้แม่นว่าวันที่ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวว่าลูกชายได้งานทำ คนเป็นแม่ไชโยโห่ฮิ้วดีใจยิ่งกว่าลูกชายหลายเท่า  

          หลังจากเป็นบัณฑิตเตะฝุ่นหางานเกือบปี ยื่นใบสมัครมาหลายสิบแห่ง แต่ไร้วี่แววจนเริ่มถอดใจว่าคงไม่มีใครยอมรับคนหูหนวก แต่ร่ำเรียนจนจบครุศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรการศึกษาพิเศษ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต  

          ลำไย เล่าว่า ตอนนั้นถอดใจถึงขนาดเตรียมถอยข้าวของอุปกรณ์ ให้ลูกชายมาฝึกทำเบเกอรี่ ทำน้ำผลไม้ไปขายตามตลาดนัดแล้ว เพราะหางานทำไม่ได้อย่างไรก็ต้องมีอาชีพไว้เลี้ยงตัว 

          ครอบครัวของดุ๊กมีฐานะปานกลาง แม่ทำงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดในโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีลูกชายสองคน อีกคนหนึ่งปกติ มาพบความผิดปกติว่าดุ๊กลูกคนโตพิการทางการได้ยิน ตอนอายุได้ 2-3 ขวบ ซึ่งระหว่างงานกับลูก แม่ตัดสินใจเลือกลูก ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิด 3 ปี เพราะอยากฝึกให้ลูกโตมาอยู่ร่วมกับสังคมเหมือนเด็กปกติทั่วไป ตั้งแต่เล็กๆ แม่คนนี้จึงสอนลูกอย่างเด็กปกติ สอนคู่กันทั้งพี่น้อง ฝึกให้ลูกพูด อ่านออกเขียนได้ และสื่อสารด้วยการฝึกอ่านปากจดจำคำพูดและความหมายได้  

          เด็กพวกนี้มีความสามารถแต่ขึ้นอยู่กับผู้ปกครอง บางคนเห็นลูกเป็นอย่างนี้ก็ปล่อย ก็อยากจะบอกแม่ๆ ว่า ต้องฝึกลูกและเอาใจใส่เขา อย่าคิดว่าเขาพิการ ให้คิดว่าเขาเป็นเด็กปกติ ฝึกไปเขาต้องทำได้ แม่คนอื่นคิดว่าลูกทำไม่ได้ คิดว่าไม่มีความสามารถ แต่ถ้าเราสอนเขา เขาก็ทำได้" ลำไย กล่าว

          แทนที่จะส่งเข้าเรียนโรงเรียนเฉพาะสำหรับเด็กพิการหูหนวก เธอกลับเลือกส่งลูกเรียนในโรงเรียนทั่วไปร่วมกับเด็กปกติ เพราะอยากให้ลูกได้มีสังคม ได้สื่อสารกับคนอื่นๆ หากเรียนในโรงเรียนเฉพาะ กลัวว่าต่อไปลูกจะพูดคุยแต่ภาษามือและปิดตัวอยู่ในสังคมเพื่อนที่พิการด้วยกัน ดุ๊กจึงเป็นเด็กพิการหูหนวกที่เรียนร่วมหลักสูตรกับเด็กปกติตั้งแต่ชั้น อนุบาลจนจบปริญญาตรี และมีกลุ่มเพื่อนที่เป็นทั้งคนปกติ และคนพิการหูหนวก 

          "บางคนพูดว่าลำบากนะ ลูกเป็นอย่างนี้เข้ากับคนอื่นก็ไม่ได้ พูดกับใครก็ไม่ได้ แต่เราคิดว่าเราต้องฝึกลูกเราให้ทำให้ได้ เรียนหนังสือได้ อยู่ร่วมกับคนอื่นให้ได้สิ เราจะฝึกลูกว่า หนึ่ง..เวลาอยู่กับคนอื่นให้ฝึกโดยใช้สายตาดูปากว่าเขาพูดอะไร สอง..เวลาเรียนสอนให้ลูกนั่งแถวหน้า จะได้เห็นเวลาครูสอนชัดๆ สาม..สอนให้ลูกขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนเอง จะได้ฝึกช่วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ สอนลูกว่าเวลาไปไหน ถ้าไม่รู้อะไรให้กล้าถามเลย ไม่ต้องอาย พูดไปเลยเขาฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร" ลำไย กล่าว

          ลำไย เล่าว่า เวลาอยู่บ้านจะฝึกให้ลูกอ่านหนังสือ ช่วยติวบทเรียน แรกๆ ใช้การสื่อสารแบบธรรมชาติ พูดให้ลูกอ่านปาก และยกไม้ยกมือเป็นภาษาใบ้แบบง่ายๆ ที่เข้าใจกันเอง ส่วนภาษามือแบบทางการที่ใช้กันเป็นสากล ดุ๊กเพิ่งมาหัดเรียนภายหลังเมื่อโตเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว




ดุ๊ก กฤษฎา กันทาเปี้ย

          เราจึงเห็นภาพของแม่ที่พยายามสื่อสารกับลูก โดยพูดช้าๆ ทำปากชัดๆ และทำท่าประกอบบ้างโต้ตอบกันตลอดชั่วโมงการสนทนา

          ลำไย กล่าวอีกว่า ตอนส่งลูกเรียนหนังสือจนจบปริญญา ในใจแม่คนนี้ เผื่อความหวังไว้แค่ 50:50 ว่าลูกจะมีโอกาสทำงานมีอาชีพเหมือนคนปกติ แต่ถึงอย่างไรแม่ก็ขอเป็นกำลังใจให้ลูกเกินร้อย เพราะกว่าจะเรียนจนจบเหมือนคนปกติ ไม่ใช่ง่ายๆ แม่จึงมีบทบาทมากในการเป็นโค้ชที่อยู่เคียงข้างเช่น ถ้าเขาต้องทำรายงานดึกถึงตี 4 เราก็ตี 4 ด้วย ดึกแค่ไหนก็จะอยู่กับลูก เป็นกำลังใจให้เขา ให้คำแนะนำเป็นที่ปรึกษา

          รวมทั้งตระเวนไปเป็นเพื่อนลูกสมัครตามที่ต่างๆ อย่างที่เห็นในโฆษณา รวมทั้งสวมบท "เจ๊ดัน" ช่วยเป็นกระบอกเสียงแทนลูกว่า พาลูกมาสมัครงานพร้อมบรรยายเสร็จสรรพว่าเขามีความสามารถอะไรบ้าง

          "บางแห่งที่ไปสมัครเขาบอกว่า รับเข้าทำงานได้แต่ไม่มีเงินเดือนให้นะมีแต่ค่าข้าว บางที่เดินเข้าไปสมัครเขาก็บอกปฏิเสธเลยว่า รับเข้าทำงานไม่ได้ เพราะกลัวจะสื่อสารกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง แรกๆ ก็หมดกำลังใจแต่ยังสู้ต่อ เพราะมั่นใจว่าลูกเรามีความสามารถ" ลำไย กล่าว 

          จนในที่สุด โอกาสที่รอคอยมานานก็มาถึง วันนั้นนอกจากจะได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวดีจากเอไอเอสแล้ว ยังมีขสมก.ที่โทรศัพท์มาแจ้งให้ไปรายงานตัว แต่สุดท้ายตัดสินใจเลือกทำงานที่แรกเพราะเดินทางสะดวกใกล้บ้าน

          "ตอนนี้สำหรับแม่ถือว่าหายห่วง เพราะเขามีงานทำสามารถเลี้ยงตัวเอง ทุกวันนี้เขาให้เงินแม่เดือนละ 5 พัน ในใจเคยห่วงลึกๆ ว่าจะมีบริษัทไหนรับลูกเราทำงานไหม เพราะถ้าพิการทางหูจะสื่อสารกับคนในสังคมได้ยาก" ลำไย กล่าว

          ดุ๊กเป็น 1 ใน 8 ของผู้พิการหูหนวกที่ผ่านการคัดเลือกได้เข้าทำงานเป็นพนักงาน Call Center รุ่นแรกของเอไอเอส โดยให้บริการตอบคำถามข้อมูลต่างๆ ผ่านเว็บแคมจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งลูกค้าที่พิการทางการได้ยินจะออนไลน์เข้ามาสอบถามใช้บริการ ถึงวันนี้ดุ๊กทำงานเป็นพนักงานที่นี่ได้ 2 ปีเต็มแล้ว พร้อมกับความฝันว่าอยากเก็บเงินซื้อบ้านหลังใหม่ให้แม่

          ถามเขาว่า ตั้งแต่เล็กจนโตประทับใจอะไรในตัวแม่คนนี้บ้าง ดุ๊กยิ้มเขินอยู่นาน ก่อนจะพยายามพูดว่า ประทับใจที่คุณแม่คอยช่วยเขาตลอดเวลามาตั้งแต่เด็ก และทุกครั้งแม่จะพยายามพูดช้าๆ เพื่อคุยกับเขาเสมอ



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก