วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ฉันนี่แหละ…สุริวิภา


โดย.... ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง 
ขณะที่ดาวหลายดวง ซึ่งขาย ‘รูปร่างหน้าตา’ ในวงการบันเทิง กำลังมีสถานะเป็นเพียงสินค้าบนหิ้งที่มี Shelf Life สั้นๆ
'แหม่ม' สุริวิภา กุลตังวัฒนา กลับพกพาความมั่นใจในหุ่นไซส์ XXL ของเธอ วางตำแหน่งชัดเจนกับการขาย ‘ความเป็นตัวเอง’ จากเส้นทางโลดแล่นในฐานะพิธีกรอาชีพที่ยาวนานนับ 20 ปี วันนี้ ความเป็น 'สุริวิภา' กำลังถูกนำมาต่อยอดเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้ง ‘ในจอ’ และ ‘นอกจอ’
...

ในจอ เธอเฉิดฉายมาดเนี๊ยบนิ๊ง นั่งสัมภาษณ์คนดัง ไฮไซ ทั่วฟ้าเมืองไทย ในรายการ ‘สุริวิภา’ ทุกคืนวันศุกร์ ก่อนจะปรับโหมด เปลี่ยนลุคมาคนละอารมณ์ ยืนเจื้อยแจ้วค่ำวันอาทิตย์ ในมาดของ 'เจ๊หนูแหม่ม' ในรายการขวัญใจแม่ค้าทั่วประเทศ ที่ชื่อ ‘ตลาดสดสนามเป้า’
เป็นแบรนด์บริการความบันเทิงแบบ ‘ทุกระดับประทับใจ’ ใต้ชายคา สองค่ายสังกัด คือ เจแอสแอล และโพลีพลัส...จะมีสักกี่คนเป็นได้อย่างเธอ ?
ล่าสุด วันนี้ ถ้าใครไปเดินช็อปปิ้งที่ห้างสยามพารากอน แผนกเสื้อผ้าสตรี ที่นั่นจะได้พบกับอีกบทบาทใหม่ ‘นอกจอ’ ของเธอ ที่อยู่ในเสื้อผ้าแบรนด์ 'SURI by Surivipa' แฟชั่นเสื้อผ้าบิ๊กไซส์ เอาใจคุณสาวๆ หัวอกเดียวกัน
ในวันเปิดตัวแฟชั่นแบรนด์น้องใหม่ ที่สยามพารากอน มีไฮโซ คนดัง แขกระดับวีไอพี หลากหลายวงการ พร้อมใจมาร่วมงานกันคับคั่ง หลายคนเคยเป็นแขกรับเชิญในรายการสุริวิภามาก่อน
ก่อนที่ไฮไลท์ปิดท้ายแฟชั่นโชว์ 'หนูแหม่ม' เดินยิ้มแก้มปริมากับเสื้อที่สกรีนข้อความตัวโตๆ ว่า I love Myself ตอกย้ำถึงตัวตนของคนใส่ได้อย่างชัดเจน
“เสื้อ I love Myself ที่ใส่วันนั้น เพราะต้องการบอกว่า คนเราถ้าลองไม่มั่นใจแล้วล่ะก็ ต่อให้ผอมหุ่นดีแค่ไหนก็ไม่สวย คำว่า Myself สำหรับหนูแหม่ม หมายถึงความมั่นใจทั้งหมด” แหม่ม สุริวิภา เริ่มต้นคุยแบบสบายๆ
ความมั่นใจที่อยู่กับตัวมาตลอด และฉายผ่านบทบาทพิธีกรบนหน้าจอทีวี เธอ บอกว่า ส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ ที่ค่อยๆ สั่งสมชั่วโมงบินมานานนับ 20 ปี ซึ่งสอนให้รู้ว่าควรจะใช้ออกมาแบบไหน แค่ไหน ถึงจะพอดี และน่าเอ็นดู
“สิ่งหนึ่งที่พิธีกรควรมี คือ การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ที่ทำให้แขกที่มาในรายการไม่อึดอัด ซึ่งจะถูกสอนมาตลอดและฝังมาในตัว ตั้งแต่ทำรายการยุทธการขยับเหงือก และพอมาทำรายการสมาคมชมดาวก็ได้เรียนรู้มากขึ้น แขกบางคนไม่ได้มาเพื่อให้เราจิกกัด แต่ไม่ใช่ว่าเราสร้างภาพนะคะ เพียงแต่เราเอาเรื่องบวกมาคุยกันดีกว่า มองแบบ Positive Thinking ดีกว่า”
ถึงแม้บางคนจะมอง บทบาทพิธีกรหญิงเดี่ยวมือหนึ่งอย่างเธอ ถึงขั้นถูกเทียบชั้นให้เป็น 'โอปราห์ วินฟรีย์' ของเมืองไทย แต่เจ้าตัวบอกว่า เธอยังทำได้ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของโอปราห์ ที่เป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่ง ฉลาด รอบรู้
“แต่สิ่งที่หนูแหม่มมี คือ แค่ความอบอุ่นในบ้าน ที่ทำให้แขกรับเชิญที่มาในรายการ ต้องรู้สึกอบอุ่น คุ้นชินกับเราให้เร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะเปิดประตูใจให้เราได้เข้าไปพูดคุยกันอย่างเปิดใจ แต่แน่นอนว่า โอปราห์ เขาเป็น Role Model ของหนูแหม่มได้เลย เพียงแต่เรายังก้าวช้ากว่าเขาหลายเสต็ป”
เธอเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ก้าวมาเป็นพิธีกรรายการสุริภา ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยน เพราะในชีวิตคุ้นเคยแต่วงการบันเทิง แต่มาทำรายนี้ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ ทำไปแค่สองเดือนแรกกดดันถึงขั้นจะขอลาออก
“รายการสุริวิภา เป็นจุดเปลี่ยนทั้งในเรื่องของการใช้ชีวิต และความคิดอีกครั้งหนึ่ง เมื่อก่อนวงการบันเทิงคือสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา หยิบจับได้ง่าย เคยแต่สัมภาษณ์ดารา นักร้อง นักแสดง
แต่ทำรายการนี้ ต้องคุยกับแขกรับเชิญ ทั้งนักธุรกิจ คนที่ประสบความสำเร็จ ทำให้เรากลายเป็นคนที่ต้องอ่านหนนังสือเยอะขึ้น เก็บข้อมูลของแขกรับเชิญ และต้องรอบรู้มากขึ้น”
หนูแหม่ม บอกว่า เสน่ห์ของอาชีพพิธีกร คือ อิสระที่ได้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ซึ่งทั้งในรายการ ไม่ว่าจะเป็นสุริวิภา ของเจเอสแอล หรือตลาดสดสนามเป้า ของโพลีพลัส สามารถกลมกลืนควบคู่กันไปได้
ตรงนี้ เธอถือว่า เป็นโอกาสที่ผู้ว่าจ้าง เป็นคนที่มองเห็นศักยภาพ และเลือกที่จะหยิบความเป็นตัวเธอ ในแง่มุมต่างๆ เอาไปใช้ในรายการที่มีสไตล์แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้ใหญ่ หยิบยื่นโอกาสก้าวมาเป็นเจ้าของรายการทีวี หลายครั้ง แต่หนูแหม่ม ก็เลือกที่จะรั้งบทบาทเป็นแค่พิธีกรดำเนินรายการไว้แค่นั้น
" เพราะรู้ดีว่า ถ้าต้องแบกภาระและความกดดันของบริษัท ไว้บนบ่า รวมทั้งธรรมชาติที่ผังรายการต้องเปลี่ยนทุกปี จะทำให้รู้สึกเกร็ง และขาดอิสระในการทำงาน
...
หลักคิดอย่างหนึ่งเธอ คือ ต้องเลือกในสิ่งที่มีความสุขและเป็นอิสระในการทำงาน นอกจากอาชีพพิธีกรที่เธอถนัด เราจึงได้เห็นหนูแหม่ม ต่อยอดเอาความเป็นตัวเอง ออกมาทำธุรกิจ เช่น ร้านตกแต่งเล็บ 20 Nails Studio ที่เริ่มต้นจากความชอบแต่งเล็บเป็นชีวิตจิตใจ
“อะไรก็ตาม ที่เราชอบจนถึงขั้นรัก และเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากพอ เราสามารถต่อยอดได้ในทุกสาขาอาชีพ รอจนแวลามันสุกงอม แล้วจึงเอามาใช้”
เสื้อผ้าแบรนด์ “SURI by Surivipa” แฟชั่นเสื้อผ้าบิ๊ก ไซส์ ที่เพิ่งเปิดตัวไป ก็เป็นอย่างหนึ่ง ที่เป็นผลผลิตที่สุกงอม จากประสบการณ์การทำงานเป็นพิธีกรมาตลอด 20 ปี คนจะถามตลอดว่า ซื้อเสื้อผ้าที่ไหน ทำไมกล้าใส่แบบนี้ กล้าใส่สายเดี่ยวไม่อายเหรอ เพราะแขนใหญ่
“แต่ทั้งหมดมันขึ้นอยู่ที่ความมั่นใจ แล้วก็ต้องอยู่ที่การดีไซน์ อยู่ที่การออกแบบในการมิกซ์แอนด์แมทซ์ หนูแหม่มเอง ก็เคยมีประสบการณ์แบบเดียวกันมาก่อน เวลาไปซื้อเสื้อผ้าเราหาซื้อได้ยากมาก ต้องไปช็อปเสื้อผ้ารุ่นแม่ๆ หรือเสื้อผ้าสำหรับคนท้อง”
เพราะใครๆ ก็อยากจะสวย ดูดี ด้วยกันทั้งนั้น และทุกคนก็ควรเข้าถึงแฟชั่นได้ สาวไซส์ใหญ่เองก็เช่นกัน ในเมื่อทางเลือกในท้องตลาดมีน้อย เธอเลยเห็นโอกาสกระโดดเข้ามาบุกตลาดนี้ด้วยตัวเอง
“สไตล์เสื้อผ้าแบรนด์ 'SURI by Surivipa' จะนึกถึงอะไรที่ใส่แล้วสบาย ใส่แล้วมั่นใจ เดินไปไหนได้ทุกที่ มีรสนิยมแบบพอดี ไม่น้อยไปมากไป เพราะว่าคนไซส์พิเศษอย่างพวกเราจะมีข้อจำกัดที่มากกว่าคนไซส์เล็กๆทั่วไป เช่น อะไรก็ตามที่มาสวมใส่อย่ามารัด อย่ามาลงโทษกันด้วยการเอาอะไรมาคาด หรือชุดหนังอะไรอย่างนี้ ชุดของเราจะทำแบบดูธรรมดา แต่จะสามารถเอาแอสเซสเซอรี่มาเติมได้”
เป็นการเริ่มต้นลงทุนแบบเล็กๆ ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เงินลงทุนเองทั้งหมด ไม่กู้แบงก์ อาศัยโรงงานเสื้อผ้าที่รู้จัก ซึ่งเป็นแฟนรายการ ช่วยผลิตให้ในจำนวนเริ่มต้นไม่มาก ส่วนทีมนักออกแบบเสื้อผ้า ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นทีมฝ่ายเสื้อผ้า และสไตลิสต์ ที่เคยร่วมงานกันมาตลอดในรายการทีวีต่างๆ ที่คุ้นเคยกับสรีระอวบๆ ของหนูแหม่ม จนรู้ดีว่า สาวบิ๊กไซส์ ต้องแต่งอย่างไรถึงจะสวย
ส่วนเรื่องการจัดการด้านธุรกิจ หนูแหม่ม ยกให้สามี คือ 'บ๊อบบี้' โรเบิร์ต พูนพิพัฒน์ เป็นคนช่วยดูแลวางแผนจัดการ เพราะเรื่องนี้ ยอมรับตัวเธอไม่ประสีประสาเลยจริงๆ
“หนูแหม่มรู้ใจตัวเองว่า อะไรคืออิสระที่เราเลือก เรารัก มีความมั่นใจที่จะเลือกในสิ่งที่เป็นตัวเอง ถ้าหนูแหม่มรักที่จะกิน หนูแหม่มก็ต้องยอมรับในตัวที่จะโตขึ้นมาให้ได้ ก็เลยรู้ว่าเราจะต้องยืนเป็นตัวของตัวเอง ในแบบไหน”
เพราะวิธีคิดอย่างนี้ เธอจึงภูมิใจ และมีความสุขในความเป็นตัวเอง และฉายออกมาเป็นความมั่นใจในที่สุด
...
หลายคนมองว่า การกลับมาครั้งใหม่ของแหม่ม สุริวิภา หลังรายการสมาคมชมดาว ต้องปิดฉาก พร้อมวิกฤติครั้งใหญ่ในชีวิต เธอดูเปล่งประกาย และฉายแววในบทบาทพิธีกร ที่โดดเด่นมากกว่าเดิม หนูแหม่ม หัวเราะบอกว่า ทั้งหมด อาจเป็นเพราะการที่เธอโตขึ้น
“พอเราโตขึ้นประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมามันสอนเรา มันทำให้เรากล้าที่ตัดสินใจ พอเริ่มเราเริ่มรู้สึกว่าเราเป็นอิสระในความคิดและอิสระการตัดสินใจ มันก็เดินไปทางที่เรามั่นใจได้ไม่ได้ยากอะไร คนเราทุกคนถ้าอายุก้าวขึ้นมาแต่ละปี โตขึ้นทุกปี เขาก็จะมีทางเลือกวีธีคิดที่เปลี่ยนไปเหมือนหนูแหม่มนี่แหละ”
บางที นี่อาจถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลตอบแทน ของ แหม่ม สุริวิภา หลังจากตรากตรำทำงานหนัก ลงทุน ลงแรง สั่งสมชั่วโมงบิน บนเส้นทางในวงการนี้มาตลอด 20 ปี จนก้าวมาถึงวันนี้ บนความเป็น ‘สุริวิภา’ ที่เป็นตัวจริง ชัดเจน
ที่มา : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
ภาพ : ภาคิน เลาหสินณรงค์

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก