วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คืนสู่ผืนดิน..เรียนรู้สู่อิสรภาพ อุ้ม สิริยากร พุกกะเวส

 โดย : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง 

ห้องเรียนชีวิตชั้นปีที่ 36 ของ อุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส ดำเนินไปเพื่อไขคำตอบของใจว่าเราจะมีชีวิตแบบอื่นได้หรือไม่ ? 


ปีนี้อุ้มหายหน้าจากเมืองไทย ไปใช้ชีวิตที่เมืองพอร์ตแลนด์ สหรัฐอเมริกาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินทางกลับเมืองไทยตามเสียงหัวใจที่ดังขึ้นเรื่อยๆ 

“อยากมีชีวิตที่พึ่งพิงตัวเองได้มากขึ้น แล้วก็มีชีวิตที่อยากสัมผัสดิน” อุ้มเล่าถึงแรงบันดาลใจให้ข้ามไปเรียนรู้วิถีชีวิตไกลอีกซีกโลก ก่อนเลี้ยวกลับเมืองไทย ชีพจรลงเท้าต่อไปเมืองอู่ข้าวอย่างสุพรรณบุรี โลดเต้นกับทุ่งนาสีเขียวในอ้อมกอดขุนเขาที่อ.เทิง จ.เชียงราย 

บทใหม่ของการออกเดินทางเรียนรู้ค่อยๆ เริ่มต้น เมื่อสาวที่โตมาในเมืองทั้งชีวิต สนใจอยากเบนเข็มชีวิตสู่วิถีเกษตรกรรม 

“คิดว่าถ้าลองไปใช้ชีวิตในเมืองที่มีผู้คนสนใจการเกษตรได้ก็คงจะดี เลยเลือกไปอยู่พอร์ตแลนด์สักพัก... บางคนบอกว่าไม่เห็นจะต้องถ่อไปถึงโน่นเลย อยู่ที่นี่ก็ไปซื้อผักสวนครัวมาปลูกได้ แต่อุ้มคิดว่ามันไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นเรื่องขององค์รวมที่ใหญ่กว่าแค่กิจกรรมบางอย่างที่เห็นด้วยตา อย่างผู้คนที่นั่นเขาไม่ได้แค่ปลูกผักกิน แต่มันเป็นเรื่องของการตั้งคำถามถึงการไม่พึ่งพิงทุนนิยมเต็มรูปแบบ ซึ่งอาจจะเริ่มจากการปลูกอาหารกินเองให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก” 

ช่วงเวลาที่อยู่พอร์ตแลนด์ อุ้มได้ลองลงมือขุดแปลงปลูกผักเองที่สนามหลังบ้าน ลองออกไปเรียนรู้รสชาติชีวิตคนงานกลางแดดในไร่ เก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจจาก มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เจ้าของหนังสือ The One-Straw Revolution (ปฎิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว) 

“อุ้มอ่านหนังสือเล่มนี้ตอนอยู่พอร์ตแลนด์ ถึงคุณมาซาโนบุจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ว่าแนวความคิดเรื่องเกษตรวิถีธรรมชาติ (Natural Farming) ได้ส่งผลต่อคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่เริ่มต้นหันกลับมาทำการเกษตรตามแนวทางนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือคุณฟูกูโอกะพูดว่าการทำเกษตรช่วยชำระจิตวิญญาณของเรา และสูงที่สุดก็คือนำไปสู่การหลุดพ้น แต่ผู้คนอาจจะติดยึดกับเทคนิควิธีมากกว่าปรัชญา เพราะเวลาพูดถึงคุณฟูกูโอกะ คนก็จะพูดถึงการไม่ไถพรวนดิน ไม่กำจัดวัชพืช ไม่ใช้ปุ๋ยทุกชนิด แต่จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นแค่เทคนิควิธี เพราะปรัชญาที่แท้จริงคือการที่เราได้เรียนรู้ทำความเข้าใจตนเอง ได้น้อมจิตวิญญาณลงสู่ธรรมชาติ อุ้มว่าสิ่งนั้นต่างหากที่งดงาม” 

ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง เธอว่าสิ่งสำคัญที่ได้ค้นพบก็คือ ได้รู้ว่าเราไม่รู้อะไรเลย นับเป็นบันไดก้าวแรกที่สำคัญอันนำมาซึ่งการเรียนรู้ก้าวอื่นๆ ต่อไป 

"เมื่อไหร่ที่เราเริ่มต้นด้วยใจที่เปิดกว้าง โลกนี้มันจะกว้างใหญ่ไพศาลมากสำหรับเรา” 

ชีวิตที่นั่นทุกวันจึงสนุกกับการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และเบิกบานขึ้นไปอีกเมื่อได้อยู่กับธรรมชาติซึ่งเป็นความจริงที่แท้ 

“ระหว่างการได้รู้ว่ามีผลิตภัณฑ์ออกใหม่ กับได้รู้ว่าใบไม้มันผลิใบ อะไรมันจริงกว่ากัน?” อุ้มตั้งคำถามชวนคิด 

“การได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ใบไม้งอกใหม่ ในขณะที่ใบที่ร่วงแล้วก็ย่อยสลายไป มันทำให้เราได้คิดนะว่าเราเองก็เป็นอย่างนั้น เราที่นั่งอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเหมือนจิตที่ดับแล้วเกิดใหม่ทุกขณะ คิดได้อย่างนี้เราจะพร้อมรับวันใหม่ทุกวัน อะไรที่ผ่านไปแล้วเราก็จะรู้ว่ามันได้ผ่านไปแล้ว เราก็จะอยู่กับปัจจุบัน” 

ตั้งแต่เด็ก อุ้มเติบโตมากับคุณย่าซึ่งเป็นคนช่างปลูกต้นไม้ บ้านบนเนื้อที่ 140 ตารางวาย่านปากน้ำเต็มไปด้วยผลหมากรากไม้นานาชนิด ความใกล้ชิดธรรมชาติส่วนหนึ่งจึงได้รับอิทธิพลถ่ายทอดมาจากคุณย่า และมาจากข้างในตัวเองอีกส่วนหนึ่ง 

นอกจากจะเป็นมังสวิรัติ อุ้มยังสนใจอาหารจากธรรมชาติ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เล่นโยคะมานานนับสิบปี ทุกวันนี้อดีตนักแสดงสาวยังมีวิธีดูแลตัวเองแบบเรียบง่าย ใช้แป้งทานาคาพม่าทาผิวก่อนออกจากบ้าน กลางคืนใช้น้ำมันรำข้าวออแกนิกส์ทาหน้า 

“อุ้มคิดว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่บางครั้งเราอยู่ในแวดล้อมของสิ่งไม่ธรรมชาติเสียจนเราลืม... จริงๆ แล้วธรรมะ ธรรมชาติ และชีวิตมันเป็นเรื่องที่เรียบง่าย ที่เราใช้ชีวิตกันอยู่ทุกวันในเมืองนี่ต่างหากที่ยาก คิดดูสิคะว่ามันยากไหมที่ต้องทำงานหาเงินอย่างหนักหน่วงเพื่อนำไปซื้ออาหาร ซื้อวัตถุต่างๆ มาปรนเปรอกิเลส สินค้าแต่ละอย่างกว่าจะได้มาต้องผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้ทรัพยากรเท่าไหร่ ต้องไปสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า แต่จริงๆ แล้วถ้าคิดแบบสุดโต่ง... ถ้ามืดก็นอนสิ ถ้าใช้ชีวิตให้มันสอดคล้องกับธรรมชาติ เราจะไม่ต้องยุ่งยากกับชีวิต แล้วก็เบียดเบียนธรรมชาติขนาดนั้นเลย 



เพราะฉะนั้นอุ้มว่าสิ่งที่จะเรียนรู้ต่อไปก็คือ อุ้มจะใช้ชีวิตสอดคล้องนอบน้อมกับธรรมชาติให้มากขึ้นได้อีกอย่างไรบ้าง ถึงจะเป็นหนทางที่ยาวไกลและต้องมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ แต่อุ้มคิดว่าเริ่มจากเรื่องอาหารก่อนนี่แหละ แล้วมันก็จะนำไปสู่สิ่งอื่น ๆ วันหนึ่งเราก็จะซื้อน้อยลง ความอยากได้อยากมีน้อยลง...” 

อุ้มเป็นคนหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตแบบวัตถุนิยมสุดโต่ง แต่พอผ่านชีวิตที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายซับซ้อนอย่างนั้นมาแล้ว ทำให้เธอเรียนรู้ชีวิตไปอีกขั้น 

“อุ้มเชื่อในประสบการณ์ตรง ต่อให้ได้ยินหรือว่าเห็นมามากแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ได้มีประสบการณ์ตรงกับมัน ภาวนามยปัญญาย่อมไม่เกิด โดยเฉพาะทุกข์ซึ่งเป็นสภาวะที่ทนได้ยาก ย่อมสร้างปัญญาได้มากกว่าสุข เราจึงต้องผ่านทุกข์เพื่อให้เกิดความรู้ที่แท้” 

มีช่วงไหนในชีวิตที่ทุกข์มากๆ จนกระทั่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ไหม? “ไม่มีค่ะ...ทุกข์เรื่อยๆ สุขเรื่อยๆ อุ้มคิดว่าสำหรับบางคน ไม่ใช่ว่าต้องมีเหตุการณ์สูญเสียครั้งใหญ่หลวงอะไรในชีวิตถึงจะคิดได้ อย่างที่อุ้มตั้งคำถามว่าเกิดมาทำไม อยู่ดีๆ เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ตัวยังเปียกอยู่เลย ก็เกิดคำถามแว๊บขึ้นมา ความคิดและการเรียนรู้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้” 

หากแต่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตที่อุ้มตัดสินใจลดขนาดการทำงานลงมา เกิดจากการได้คิดไตร่ตรองว่าอะไรที่เหมาะสมกับตัวเอง 

“เวลาได้คิดทบทวนกลับไปแล้วก็จะเห็นเลยว่าหลายช่วงของชีวิตเต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง กิเลสเยอะมาก เมื่อค่อยๆ เห็น ค่อยๆ กลับมาดูตัวเอง เราจะหาความพอดีให้กับชีวิตได้” 

อุ้มยกตัวอย่างวิถีชีวิตเกษตรกรที่ได้ไปเรียนรู้ ถึงแม้จะเห็นว่ามีบางอย่างที่ดี น่าจะนำมาทำให้กลายเป็นชีวิตในทุกๆ วัน แต่ก็ต้องเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าวู่วาม ต้องดูตัวเองด้วยว่าเรามาจากไหน แล้วศักยภาพเราเป็นอย่างไร 

“ต้องรู้ตัวว่าเราเป็นผู้หญิง ถ้าจะใช้ชีวิตอย่างนั้นจะต้องเตรียมการอะไรบ้าง ขนาดแค่ไหนที่เหมาะสมกับกำลังของเรา เพราะทุกคนก็จะเล่าว่ามันไม่ใช่เรื่องสวยงามโรแมนติกทั้งหมด ความไม่น่ารักก็มีในต่างจังหวัด ถ้าเป็นคนใหม่เข้าไปในพื้นที่ควรต้องทำยังไง” 

สำหรับอุ้มแล้วการเกษตรเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตแบบองค์รวม ซึ่งจะนำไปสู่การพึ่งตนเองในรูปแบบอื่นๆ ด้วย จากอาหาร ไปสู่ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค จิตวิญญาณ กายใจ ทุกอย่างเชื่อมถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 



อุ้มเล่าภาพรวมกว้างๆ เท่าที่จะเล่าสู่กันฟังได้ ณ ขณะนี้ แต่ยังไม่มีคำยืนยันว่าจะผันตัวเองไปเป็นเกษตรกร ถึงขนาดจะย้ายไปลงหลักปักฐานที่ชนบทหรือเปล่า 

“คืออุ้มก็ยังมีบ้าน มีคอนโดอยู่ที่กรุงเทพที่เพิ่งซื้อ แล้วก็คิดว่าชีวิตเราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเด็ดขาด สบายๆ อย่าไปจำกัดจำเขี่ยตัวเอง แล้วก็เปิดใจถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น” 

ถึงแม้จะยังอยู่ในช่วงศึกษาหาข้อมูล แต่ภาพในหัวอุ้มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าจะได้เริ่มลงมือจริงจัง หลังจากลุยงานพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มใหม่ปลายปีนี้เสร็จ รวมถึงรายการโทรทัศน์ใหม่ที่น่าจะได้ชมกันปีหน้า ส่วนจะว่าด้วยเรื่องอะไรนั้นต้องคอยติดตาม 

“อีกเรื่องสำคัญที่อุ้มได้เรียนรู้จากธรรมชาติก็คือความอดทน ถ้าเมล็ดยังโตไม่เต็มที่ ยังไงมันก็ไม่งอก แต่ก่อนเราคิดว่าจะต้องควบคุมสิ่งต่างๆ อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นไปอย่างที่อยากจะให้มันเป็น แต่พออยู่กับธรรมชาติมันทำให้เราเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง เราต้องอดทนแล้วก็เฝ้าดู สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่อดทน เฝ้าดู และประคับประคองอย่างดี ถึงเวลาเมล็ดพืชก็จะงอกงาม เติบโต และให้ผลกับเรา การทำเกษตรกรรมและธรรมชาติจึงสลายอัตตาเราด้วย” 

ทุกวันนี้ อุ้มมีความสุขกับการทำสำนักพิมพ์ OOM ผลประกอบการอาจจะไม่อู้ฟู่ แต่เธอกลับรู้สึกว่าดีจัง ได้ทำงานที่รัก สนุกแถมยังได้ตังค์ สบายอกสบายใจ มีเรื่องให้ยิ้มได้ทุกวัน 

“ก่อนหน้านี้หลายปี มีช่วงชีวิตที่ทำงานมากไป ไม่สนุก แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน … ทำงานเพื่อทำงานและเพื่อความดีงามของชีวิต แล้วมันก็ดี... แล้วเงินมันมาเอง อุ้มเห็นมาหลายคนแล้ว บางครั้งถ้าพยายามมากเกินไป คิดแต่ว่าจะหาเงิน มันหาไม่เจอสักที เรื่องความรักหรืออะไรก็เหมือนกัน ยิ่งหายิ่งไม่เจอ แต่ถ้าเราทำใจเราให้ดีไว้ เดี๋ยวสิ่งดีๆ มันเข้ามาเอง” อุ้มยืนยันความเชื่อทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม 
---------------------------------------------------- 


โดย : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง 
Life Style : Society 
วันที่ 10 ธันวาคม 2553 
By : bangkokbiznews.com 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก