รอยเท้านักเดินทาง: อรุณรุ่งแห่ง เชจู
รอยเท้านักเดินทาง: อรุณรุ่งแห่ง เชจู
เรื่องและภาพ : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
จากอดีตเกาะภูเขาไฟโพ้นทะเลซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่เนรเทศนักโทษการเมือง รวมถึงจอมนางแห่งวังหลวง “แดจังกึม” เมื่อหลายร้อยปีก่อน วันนี้ เกาะเชจู ไม่เพียงเป็นเกาะโรแมนติกยอดฮิตที่คนเกาหลีใฝ่ฝันมาเที่ยวตากอากาศและฮันนีมูนกันที่นี่
ล่าสุดยังได้รับการโปรโมทให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลก พร้อมๆ กับความพยายามผลักดันให้เชจูเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางเมืองหลวงแห่งการประชุมและสัมมนา หรือ MICE ระดับโลก
ด้วยระยะเวลาเดินทางเพียงหนึ่งชั่วโมงจากสนามบินกิมโป สนามบินภายในประเทศของเกาหลีใต้ เรามาถึงเกาะเชจูในยามเช้าของวันพุธที่มีนักท่องเที่ยวเดินสวนกันขวักไขว่ทั่วสนามบิน ถุงกอล์ฟใบแล้วใบเล่าถูกลำเลียงออกมาบนสายพานตามมาด้วยกระเป๋าใบโตของเหล่าผู้โดยสาร อากาศที่เย็นสบายและสนามกอล์ฟระดับมาตรฐานที่เปิดให้บริการมากมายบนเกาะตากอากาศ ทำให้ที่นี่เป็นสวรรค์ย่อมๆ ของบรรดานักกอล์ฟ
อะไรจะมีความสุขเท่ากับการได้มาประชุมสัมมนาพร้อมได้ออกรอบตีกอล์ฟไปด้วย
เกาะเชจู หรือ เชจูโด เป็น 1 ใน 9 จังหวัดของเกาหลีใต้ เป็นจังหวัดที่เล็กที่สุด แต่เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ห่างจากชายฝั่งราว 130 กิโลเมตร
เกาะแห่งนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ท้องสมุทรเมื่อราว 700-1,200 ล้านปีมาแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2550 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้ "เกาะเชจูและถ้ำลาวา" ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยมีภูเขาฮัลลาซาน ซึ่งเป็นภูเขาไฟ ที่ดับแล้ว ความสูง 1,950 เมตร ตั้งอยู่ตรงกลางเกาะ -1-
รถบัสพาเรามาถึง Welcome center ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชจู เจ้าหน้าที่แจกหนังสือพร้อมอุปกรณ์แว่นสามมิติสำหรับชมพรีเซนเทชั่นแนะนำเกาะ ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายชนิดที่สองมือนับนิ้วได้ไม่หมด ตั้งแต่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างน้ำตก ภูเขา ถ้ำ แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยมากมายกว่า 80 แห่ง มีให้ชมตั้งแต่พิพิธภัณฑ์หมีเท็ดดี้แบร์ พิพิธภัณฑ์ปราสาทช็อกโกแลต เซ็กซ์มิวเซียม ไปจนถึงแอฟริกามิวเซียม ฯลฯ เห็นแล้วก็อยากไปทั้งหมด
พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลล็อค (OSULLOC) เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกที่เรารีบกรูลงจากรถเพื่อทำเวลา หลายคนไม่พลาดโพสต์ท่าถ่ายรูปกับไม้ดัดรูปถ้วยชายักษ์สองใบที่โอบล้อมด้วยทุ่งชาเชียวยาวสุดลูกหูลูกตา ฝั่งตรงข้ามเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์จัดแสดงและบอกเล่าเรื่องราวของชา ประวัติความเป็นมา วัฒนธรรมการชงชา อุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือในการชงชาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากจะได้สัมผัสความเป็นมาของชาแล้ว ที่นี่ยังมีผลิตภัณฑ์จากชาหลายชนิดให้ได้เลือกชิม และเลือกซื้อ พร้อมกับลิ้มรสความหอมหวานของไอศกรีมชาเขียว เครื่องดื่มชาเขียวเย็น เค้กชาเขียว เป็นสวรรค์ของคนรักชาที่ต้องมาเยือน
นอกจากชาเขียวที่ขึ้นชื่อแล้ว น้ำ อากาศ และดินที่อุดมสมบูรณ์บนเกาะภูเขาไฟอย่างเชจู ยังเป็นแหล่งปลูกส้มที่โด่งดัง สองข้างทางสวนส้มหลายแห่งกำลังออกลูกส้มสีทองอร่าม ใครที่เป็นคอหนังซีรีส์เกาหลีเรื่อง My Girl คงจำกันได้ถึงฉากที่นางเอกมาเก็บส้มที่นี่ นั่งรถต่อไปไม่กี่อึดใจ เสียงไกด์ประจำทริปบอกให้รู้ว่าเรามาถึงพิพิธภัณฑ์ปราสาทแก้วแห่งเกาะเชจูแล้ว JEJU GLASS CASTLE เป็นที่จัดแสดงผลงานศิลปะที่ทุกอย่างทำมาจากแก้ว มีทั้งการเป่าแก้วและการนำแก้วมาดัดแปลงเป็นสิ่งของต่างๆ สารพัดนึกกว่า 200 ชิ้น เช่น สวนดอกไม้ สะพานแก้ว เขาวงกต รองเท้าแก้ว รถฟักทองซินเดอเรลลา ฯลฯ
จากนั้นเรารีบทำเวลา มุ่งหน้าสู่ Joanne Bear Museum ที่นี่เป็นมิวเซียมเล็กๆ ของเท็ดดี้แบร์อาร์ติสท์คนดัง Joanne Oh ซึ่งทำตุ๊กตาหมีทำมือด้วยความพิถีพิถัน ขั้นตอนกว่าจะได้หมีสักตัวต้องใช้เวลานับเดือน ทอเส้นใยจากธรรมชาติ ที่นี่ยังมีหมีในซีรีส์เกาหลี หมีที่ทำขึ้นพิเศษเพื่อมอบให้กับประธานาธิบดีบารัก โอบามา ใครที่ชอบหมีมาเดินที่นี่คงเพลิดเพลินไม่น้อย โดยเฉพาะมุมของฝากที่มีสินค้าหมีนานาชนิดให้เลือกติดไม้ติดมือกลับบ้าน
ปิดท้ายโปรแกรมของวัน เรามาถึงรีสอร์ทชุงมุน เพื่อลงเรือยอชต์สุดหรู "แชงกรีล่า" ก่อนขึ้นเรือ ต้องไปรับชูชีพและมีเสื้อคลุมกันหนาว เพราะว่าเวลาออกเรือลมจะพัดแรง ก่อนขึ้นเรือยังมีการแจกยาแก้เมาชนิดดื่มเป็นขวด รสชาติเหมือนยาแก้ไอ แต่คิดถูกแล้วที่กลั้นใจกินก่อนลงเรือ เพราะแค่เรือออกจากฝั่งไปไม่กี่นาที ความหฤหรรษ์ที่มาพร้อมกับการโต้คลื่นก็เกิดขึ้นเป็นระยะ พร้อมๆ กับเสียงวี้ดว้ายของพวกเราที่ชุมนุมกันอยู่ตรงหัวเรือ เพราะคลื่นที่นี่แรงจริงๆ
เรือค่อยๆ แล่นเพื่อให้เราได้ชมทัศนียภาพรอบๆ เกาะเชจู ซึ่งเป็นเกาะที่เกิดจากลาวา มีหินหน้าตาแปลกๆ เช่น หน้าผาที่เป็นเหมือนเสาสี่เหลี่ยมแท่งๆ ที่คนจะมาถ่ายรูปกัน และหินอีกก้อนที่เป็นสัญลักษณ์ คือ โขดหินรูปมังกร หรือ ยงดูอัม แต่ไปคราวนี้เราไม่ได้แวะไปที่นั่น แสงยามเย็นพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า เป็นอะไรที่โรแมนติกทีเดียวสำหรับคู่รักที่เลือกมาฮันนีมูนที่นี่ เรือสำราญส่วนใหญ่เลยถูกใช้จัดงานปาร์ตี้แต่งงาน ถ่ายรูปแต่งงาน รวมทั้งถ่ายทำรายการทีวี และหนังเกาหลีเรื่องดังอย่าง F4 มาแล้ว
บนเรือนอกจากมีอาหารเสิร์ฟ โดยเฉพาะซาซิมิปลาดิบแล้ว ยังมีกิจกรรมตกปลา ซึ่งแค่หย่อนเหยื่อไปเท่านั้น ปลาก็ติดเบ็ดขึ้นมาอย่างง่ายดาย แถมยังตัวไม่ใช่เล็กๆ สามารถมาทอดกินเป็นปลาเก๋าราดพริกได้เลยทีเดียว ปิดท้ายกิจกรรมสุดหรูด้วยการขึ้นมาดินเนอร์ริมทะเลกับบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ด ซึ่งมีไฮไลต์อยู่ที่ก้ามปูยักษ์ รวมทั้งพวกอาหารทะเล เช่น หอย ปลาดิบ และยำปลาหมึกแบบเกาหลี กว่าจะถึงที่พักวันแรกก็ทำเอาแทบหมดแรง แต่ยังฮึดเดินไปชอปปิงแถวๆ โรงแรม ซึ่งมีร้านเครื่องสำอางและเสื้อผ้ากีฬาเปิดเรียงรายบนถนนยามค่ำคืน
-2-
เรามีเวลาเที่ยวสำรวจเกาะเชจูแค่ในช่วงครึ่งบ่าย แต่โชคไม่ดีที่ฝนฟ้าไม่เป็นใจ สายฝนกระหน่ำลงมาจนทำให้การเดินทางของเราขลุกขลักไปบ้าง แต่เมื่อมาถึงเชจูแล้วก็ต้องมาให้เห็นไฮไลต์ของที่นี่ เรามุ่งหน้าสู่ตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเชจู เพื่อไปชม ซอพจิโกจิ (Seopjikoji) คำว่า Koji เป็นคำภาษาถิ่นหมายถึงอ่าวขนาดเล็กลักษณะเป็นทุ่งหญ้ากว้างติดทะเล โด่งดังในฐานะที่เป็นสถานที่ถ่ายละครเกาหลีเรื่อง เทหน้าตักรักหมดใจ “All In” ซึ่งจากชายฝั่งจะสามารถมองเห็นความงามของโขดหินที่มีรูปแปลกประหลาด
ที่นี่เราได้ตามรอยซีรีส์ All In ภายในโบสถ์จำลอง มีฉากจำลองเลิฟซีนให้สาวๆ ได้สวมบทบาทเป็นนางเอกจุมพิตกับพระเอกของเรื่อง นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบซีรีส์เกาหลีมักนิยมมาเที่ยวที่นี่เพื่อมาถ่ายรูป คู่กับสถานที่ที่เคยปรากฏอยู่ในละคร ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ ประภาคารสีขาวที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขา ยิ่งในฤดูที่ทุ่งดอกยูเช หรือดอกเรฟซีด ผลิดอกสีเหลืองบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งจะเห็นภาพที่สวยงามมากๆ ไฮไลต์ต่อไปที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของเกาะ คือ ซงซานอิลซูบง (SUNG SAN Il Chul Bong) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องมาชมให้ได้ ไม่เช่นนั้นอาจเรียกได้ว่ามาไม่ถึงเชจู
ซงซานอิลซูบง มีความหมายว่า จุดสูงสุดที่พระอาทิตย์ขึ้น เกิดจากการระเบิดตัวของภูเขาไฟที่อยู่ใต้ท้องทะเลเมื่อ 1 แสนปีที่แล้ว จนกลายเป็นยอดภูเขาไฟรูปกรวยคว่ำ โดยตรงปากปล่องถือว่าเป็นจุดชมวิวทะเลและพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงาม มีหินแหลมที่ล้อมรอบปากปล่องกว่า 99 ก้อนทำให้ปากปล่องภูเขาไฟมีลักษณะเหมือนมงกุฎ
ทางเดินขึ้นสู่ยอดเขานั้นทำเป็นทางลาดพื้นหิน บริเวณรอบๆ ก็เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวตัดกับท้องฟ้า นักท่องเที่ยวมักจะเดินขึ้นไปดูบรรยากาศบนยอดเขากัน แต่น่าเสียดายที่ฝนตกและมีเวลาอยู่ที่นี่ไม่มาก ทำให้เดินขึ้นไปยังไม่ถึงครึ่งทางก็ต้องรีบกลับลงมาแล้ว ระหว่างเดินลงมา มองเห็นป้ายรอบการแสดง Live Performance ของบรรดา "เอียนโย" ผู้หญิงนักดำน้ำแห่งเกาะเชจู ซึ่งเป็นสาวชาวบ้านที่ดำลงไปในทะเลเพื่อเก็บหอยเม่น เปลือยหอย และปลาหมึกยักษ์ เป็นอาชีพโบราณดั้งเดิมของผู้หญิงบนเกาะ และถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์อันเก่าแก่ของเกาะเชจู ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ของเราพลาดโอกาสชมไปอย่างน่าเสียดาย
ปิดท้ายโปรแกรมด้วยการไป ถ้ำมานจังกุล (Manjang cave) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ มีความยาว 13.4 กิโลเมตร เป็นถ้ำที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของลาวาที่ยาวที่สุดในโลก ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตบนเกาะเชจู -3-
วันสุดท้ายก่อนอำลาเชจู ฝนยังคงโปรยปราย จากเดิมที่จะไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านบนเกาะที่ตลาดขายปลา จึงเปลี่ยนโปรแกรมมาที่ เชจู เลิฟแลนด์ เซ็กซ์มิวเซียมอันโด่งดังของเกาะเชจูแทน ที่นี่ถือเป็นดินแดนแห่งงานศิลป์อีโรติก แบ่งเป็นสองส่วน คือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งและในร่ม ส่วนแรกที่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งนั้น มีการจัดแสดงประติมากรรมเป็นรูปท่วงท่าลีลาการร่วมรักแบบต่างๆ ส่วนที่สองที่เป็นพิพิธภัณฑ์ในร่ม จัดแสดงเกี่ยวกับความรู้เรื่องเพศศึกษา และเครื่องมือตัวช่วยกระตุ้นต่อมเซ็กซ์ ตลอดจนมุมเซ็กซ์ช้อป ที่มีไว้ขายสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ พิพิธภัณฑ์ในร่มมีทั้งหมดสองชั้นด้วยกัน เมื่อขึ้นมาบนชั้นสองจะได้เห็นการจำลองเรื่องราวทางเพศของชาวเกาหลีผ่านตัวโมเดลจิ๋ว ในวันที่ไปเยือนที่นี่ รู้สึกได้ว่าเสียงหัวเราะของผู้คนจะดังกว่าที่ไหนๆ
เวลาเพียง 3 วัน 2 คืน พร้อมกับสภาพฝนฟ้าอากาศที่ไม่เป็นใจ ถ้าเป็นการทำความรู้จักกัน มาเชจูครั้งนี้ก็คงต้องถือว่าเป็นแค่แรกพบสบตา เพราะที่นี่ยังมีสถานที่ที่น่าไปอีกหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น SONG-UP FOLK VILLAGE หมู่บ้านวัฒนธรรมซงอับ ตั้งอยู่ตีนเขาฮัลลา หมู่บ้านพื้นเมืองที่รัฐบาลอนุรักษ์ไว้, CHONJIYON FALLS น้ำตก ชงจียอง จุดถ่ายรูปและวิวที่สวยมาจนคู่ฮันนีมูนเกาหลีทุกคู่ต้องมา, ปราสาทช็อกโกแลต ศูนย์รวมของช็อกโกแลต เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของเกาหลีที่สร้างด้วยหินภูเขาไฟแห่งเกาะเชจู นอกจากนี้ยังมีตลาดเชจูดงมุน ที่ยังคงมีชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของชาวเกาะเชจู โดยมีสินค้าหลักๆ อย่างปลาทะเลสด ผลไม้เมืองร้อน รวมทั้งผลิตภัณฑ์พิเศษของเชจู-โด นั่น คือ ปลาบรีม อ๊อกดอม เป๋าฮื้อและส้ม แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ 3 วัน 2 คืน ของการมาเยือนเชจู ก็ทำให้ได้เห็นอรุณรุ่งแห่งการท่องเที่ยวบนเกาะเชจู ซึ่งมาพร้อมกับโครงการก่อสร้างสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ๆ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่ค่อนข้างเปิดเสรีสู่การเป็น Free International City เช่น หากลงทุนโครงการคอนโด ค้าปลีก เรียลเอสเตท มูลค่าตั้งแต่ 500 ล้านวอนขึ้นไป ก็จะได้รับสิทธิเป็นพลเมือง เป็นต้น
ทั้งหมดนี้คือความพยายามเพื่อปัดหมุดเชจูบนแผนที่การท่องเที่ยว ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
การเดินทาง
เชจูโด หรือ เกาะเชจู อยู่ทางใต้ของกรุงโซล ซึ่งเราได้เห็นบรรยากาศสวยๆ กันบ่อยๆ จากซีรีส์เกาหลีต่างๆ หากเดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงโซลจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง ทั้งยังมีเที่ยวบินตรงจาก โอซากา นาโงยา ฟูกูโอกะ เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง มายัง เชจู อีกด้วย หรืออีกทางเลือกหนึ่งจะเดินทางมาจาก พูซาน วานโด อินชอน ยอซู หรือ มกโพ โดยเรือเฟอร์รี่ก็ได้ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่แยกออกไปจากแผ่นดินใหญ่ และมีบรรยากาศโรแมนติกแบบประเทศในเขตร้อน โดยมีสี่ฤดูและอากาศอบอุ่นสบาย อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 15 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปีและในฤดูร้อนอุณหภูมิโดยเฉลี่ยคือ 22-26 องศาเซลเซียส คู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงานและนักท่องเที่ยวจึงนิยมไปเที่ยวที่นี่
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ป้ายกำกับ: เชจู, ดุลยปวีณ, รอยเท้านักเดินทาง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก