วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

7 คำถามท้าให้คิด..ซีอีโอหมื่นล้าน บุญเกียรติ โชควัฒนา

นักธุรกิจใหญ่เครือสหพัฒน์ เชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นคนที่ใช้ความคิดมาก และมากพอจนทำให้ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ
         จัดงานเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ สำหรับหนังสือ “ท้าให้คิด ท้าให้เชื่อ” ผลงานล่าสุดของซีอีโอคิดบวก บุญเกียรติ โชควัฒนา นักธุรกิจระดับหมื่นล้าน บมจ.ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งจับปากกาเขียนเรื่องแนวคิดบวกและทฤษฎีความเชื่อความสำเร็จมาแล้วหลาย


         นักธุรกิจใหญ่เครือสหพัฒน์ เชื่อว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นคนที่ใช้ความคิดมาก และมากพอจนทำให้ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ การคิดบวกทำให้จิตเปิดกว้างไวต่อการรับรู้ทั้งในสิ่งที่ดีและไม่ดี เมื่อเราคิดบวกบ่อยๆ จะเกิดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับตนเองและองค์กร
        ทฤษฎีความเชื่อง่ายๆ ของเขามีอยู่ว่า ถ้ามีใครมาบอกหรือสอนอะไรเรา ให้เราเชื่อไว้ก่อน ถ้าตราบใดสิ่งที่เชื่อนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนกับใคร การเปิดใจรับฟังและนำเอาสิ่งที่รับฟังเข้ามาไว้ในการรับรู้น่าจะดีกว่าปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่ถูก ใช้จิตของเรารับฟังและคิดตาม ทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง และสรุปว่าน่าเชื่อหรือไม่ หรือรับเอามาเป็นความรู้ หรือเป็นหลักคิดให้กับตัวเราได้อย่างไรบ้าง  โดยเจ้าตัวยังได้ตอบคำถามถึงแนวความคิดในการท้าทายตนเองและองค์กรไว้อย่างน่าสนใจ
แนวความคิดบวกของคุณบุญเกียรติ ได้มาจากไหน ?          คุณพ่อเป็นคนตั้ง mind-set ให้  คนทำให้ผมมีความคิดบวก เป็นคนช่างคิด คือ คุณพ่อ (ดร.เทียม โชควัฒนา)  แต่คนช่างคิด กับคิดมาก ไม่เหมือนกัน  คิดมาก คือ คนที่คิดนู่นคิดนี้ คิดไปเรื่อยๆ ไม่จบ เอาอันนู้นมาปะอันนี้ แต่คนช่างคิด จะคิดอย่างสร้างสรรค์  คิดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อยอดออกไปได้   การคิดที่ถูกต้อง คือ เราต้องมีกระบวนการคิด เมื่อเราได้ยินเรื่องอะไรมา หรือไปอ่านหนังสือมา เราก็นำมาประยุกต์ นึกถึงสิ่งที่ได้ยิน หรือได้อ่านมา ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘recall’ แต่ถ้าคิดก็คือ ‘think’ แต่เราควรจะคิดอย่างลึกซึ้งก็คือ ‘concentrate’  การคิดอย่างลึกซึ้งต้องมีกระบวนการ กระบวนการอย่างแรกที่เกิดขึ้น คือการตั้งเป้า คิดว่าทำอย่างไรถึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
อยากให้ช่วยนิยามคำว่า mind-set มีความสำคัญกับการไปถึงเป้าหมายความสำเร็จได้อย่างไร           คนเรามี mind-set เต็มไปหมด  mind-set คือสิ่งที่เราได้เจอ สิ่งที่เราสัมผัส สิ่งที่เรารับรู้ทั้งหลายทั้งปวง  เราก็มักจะยึดติดอยู่กับมัน ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง หรือจะแปลตรงๆ ว่า “จิตกำหนด” ถ้าเรามี mind-setที่เป็นบวก ก็ดีอยู่แล้ว ให้เก็บเอาไว้ แต่คนส่วนใหญ่จะมี mind-set เป็นลบเยอะ  ถ้า mind-set เล็กๆ ไม่มีผลต่อตัวเอง ต่อคนอื่น ไม่เป็นไร แต่ถ้า mind-set ที่ใหญ่ ทำให้เราไม่เจริญก้าวหน้า ทำให้เราและคนอื่นเดือดร้อน เราต้องเปลี่ยน mind-set นั่น ต้องมองเห็นตัวเองก่อนว่าเรามี mind-set ที่เป็นลบ  ต้องหมั่นทบทวนตัวเองและมีสติอยู่ตลอดเวลา ต้องแยกแยะความคิดลบออกไป แล้วเราจะสามารถเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวเองได้
ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ในฐานะนักธุรกิจผู้บริหารเครือสหพัฒน์ มีการท้าทายองค์กรให้เจริญเติบโตไปอย่างไรบ้าง       เริ่มต้นด้วยการท้าทายตนเองก่อนว่า  เราต้องฟันฝ่าเศรษฐกิจเช่นนี้ไปได้อย่างไม่มีเงื่อนไข    การที่เราท้าทายตนเองอย่างนี้ก็จะทำให้เราคิดหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้เราทำได้จริงๆ ตามที่เราท้าทายตัวเองไว้  เมื่อเราคิดวิธีการต่างๆ ได้มากถึงระดับหนึ่งแล้ว  เราก็จะทำให้ผู้บริหารในทุกระดับเกิดความเชื่อมั่นว่า  มันเป็นไปได้  และทุกครั้งที่เราฟันฝ่าเศรษฐกิจไปได้แล้ว  เราก็จะเกิดศักยภาพเพิ่มขึ้น  และสามารถเอาศักยภาพที่เพิ่มขึ้นนี้มาสร้างความเจริญเติบโตให้องค์กรต่อๆ ไปอีก
ได้ยินว่าคุณบุญเกียรติไม่เคยโกรธใครเลยมาเป็น 10 ปีแล้ว ทุกคนทำถูกใจหมดเลยหรือ ?
    ไม่ถูกใจก็ไม่โกรธ ถ้าเรามัวแต่คิดว่า คนอื่นทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เราก็จะเกิดอารมณ์โกรธ แต่ถ้าเราใช้ความเข้าใจคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา เราไม่สามารถทำอะไรถูกใจใครได้หมด ตัวเราเองยังทำถูกใจตัวเองไม่ได้เลย แล้วนับประสาอะไรจะไปทำถูกใจคนอื่น นอกจากนี้ เราต้องมีเมตตา รู้จักให้อภัยและปล่อยวาง ถ้าทำได้เช่นนี้ เราก็จะไม่เกิดอารมณ์ ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ
ถ้าเรามีเจ้านาย หรือลูกน้องที่ทำงานเก่ง แต่ความคิดติดลบ จะช่วยเขาอย่างไร
  ต้องมีความเมตตา คนที่คิดบวก ไม่ได้หมายความว่าต้องคิดบวกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ต้องมีความคิดบวกมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ การคิดบวกมีสามระดับ คือคิดบวกต่อตนเอง  ต่อผู้อื่น และต่อสถานการณ์ ถ้าเราคิดบวกได้ครบทั้งสามประเภท คนๆ นั้นจะสามารถเจริญก้าวหน้าได้ คนรอบข้างก็มีความสุข องค์กรของเขาก็จะเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ การคิดบวกมีพลังมาก คิดดีก่อให้เกิดการเหนี่ยวนำพลังที่ดี กระทำแต่สิ่งที่ดี และสามารถสร้างแรงผลักดันให้เกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้
ในสภาพสังคมที่มีความแตกแยก คนไทยจำเป็นต้องคิดท้าทายตัวเองในเรื่องใดมากที่สุด
   คนไทยต้องคิดและท้าทายตนเองว่า ไม่ว่าสภาพสังคมจะแตกแยกอย่างไร  ตัวเราเองก็จะอยู่ในสังคมนั้นได้อย่างมีความสุขและมีความเจริญก้าวหน้าได้ด้วย  ซึ่งจะดีกว่าคนที่ชอบเอาปัญหาของสังคมมาเป็นปัญหาของตนเอง  ทำให้เกิดความทุกข์โดยไม่จำเป็น  แต่เราควรที่จะคิดที่จะวางตนเองให้เหมาะสมที่จะไม่ทำให้สังคมแตกแยกมากยิ่งขึ้นไปอีก
มีเรื่องใดอีกบ้างที่ต้องการท้าทายตัวเองในอนาคต
  ที่จริงแล้วผมมีเรื่องท้าทายตนเองหลายเรื่องในอนาคต  เรื่องหนึ่งก็คือ  การที่จะทำให้บริษัทในเครือสหพัฒน์มีอายุเกิน 100 ปี ตามเจตนารมณ์ของคุณพ่อของผม  ดร.เทียม  โชควัฒนา  แต่เรื่องที่ท้าทายที่สุดของผมก็คือ การทำให้ตนเองหลุดพ้นจากวัฏสงสารให้ได้ในชาตินี้  คือ ไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว
                                     ---------------------------------

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก