วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ธรรมนำใจ..ธรรมนำชัย ‘ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์’


          เบื้องหลังธงชัยในชีวิตผ่านธรรมบรรยายที่ทำให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงยิ้มได้ทุกวัน และทรงงานหนักอย่างไม่ย่อท้อ ก้าวข้ามทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในพระชนม์ชีพ แม้ต้องทรงเผชิญพระอาการประชวรด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus - SLE)  

          นอกเหนือจากถ้อยคำที่ทรงเปิดพระทัยอย่างตรงไปตรงมา และไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ทั้งในพระราชฐานะเจ้าฟ้าหญิงของแผ่นดิน พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ฯลฯ ร้อยเรียงผ่านหนังสือ “ความในใจของข้าพเจ้า” จากบทพระราชทานสัมภาษณ์ที่เคยเผยแพร่ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เนื่องในโอกาสเสด็จเป็นองค์ประกอบในงานเปิดตัวหนังสือ โดยนำรายได้เพื่อสมทบทุนมูลนิธิจุฬาภรณ์ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง พร้อมทรงบรรยายธรรมในหัวข้อ“การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน” เมื่อวันพุธที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ยังนำความอิ่มเอมและพลังใจให้บรรดาผู้มาเฝ้ารับเสด็จ และฟังธรรมบรรยายในวันนั้นซาบซึ้งกับพระจริยวัตรและธรรมะง่ายงามที่นำปรับมาใช้ในชีวิต สมดังพระประสงค์ที่รับสั่งว่า อยากแบ่งปันความรู้ อะไรบางอย่างที่ทำให้ตื่นมาแล้วยิ้มได้อย่างนี้ทุกวัน จากคำสอนของหลายหลวงปู่และหลายหลวงตา โดยเฉพาะหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่ทรงเป็นลูกศิษย์มาเป็นเวลา 15 ปี
          ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เริ่มต้นบรรยายธรรมในวันนั้นตอนหนึ่งว่า “คนเราเมื่อเกิดมาในโลกนี้ย่อมมีความทุกข์ด้วยกันทุกคน ความทุกข์นี้ บ้างก็อาจจะพูดว่าเกิดขึ้นเพราะความไม่เสมอภาคแล้วก็มีระบอบบางระบอบที่บอกว่าจะทำให้ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกันซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ การที่เกิดมา จน หรือรวย แข็งแรง หรือเจ็บป่วย มีรูปโฉมสวยงาม หรือหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดมาด้วยกรรมที่คนเราทำเอง อาจจะเป็นกรรมที่เราจำไม่ได้ เพราะว่าอาจจะทำมาตั้งแต่ชาติโน้น ชาติก่อนแล้วกรรมเพิ่งมาให้ผล เพราะฉะนั้นคนเราจึงเกิดมาไม่เท่าเทียมกันเพราะว่าบุญ หรือกรรมที่สะสมมา..”           วงจรชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์ในชีวิตมนุษย์ที่ยากจะหนีพ้น คำสอนธรรมะ 3-4 หลักสำคัญ ที่ทรงใช้เป็นเคล็ดลับประจำใจในการดำเนินชีวิตให้ยิ้มได้ทุกวัน คือ การอยู่กับปัจจุบัน การปล่อยวาง อภัยทาน และการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ
          “..หลวงตามหาบัวท่านสอนว่า “อดีตทำเมา ปัจจุบันธรรมโม อนาคตทำมา” คำว่า “ทำเมา” แปลว่าทำให้มัวเมา เพราะอดีตผ่านไปแล้วไม่ควรจะยึดติดกับอดีตซึ่งทำให้จิตคนเราเศร้าหมอง อดีตมีส่วนดีอยู่อย่างเดียว คือเป็นเครื่องเตือนใจ เช่นว่าถ้าทำผิดก็เตือนใจตัวเองว่าจะไม่ทำซ้ำ ส่วนถ้าทำดีแล้วเป็นเรื่องดีแล้วก็จำไว้ว่านี่เป็นเรื่องดีที่เราทำแต่อย่าไปหมกมุ่น  ส่วนคำว่าอนาคตทำมา หมายถึง อนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การที่พยายามจะไปทำนาย คาดเดา อันนี้ทำให้จิตฟุ้งซ่านและเป็นทุกข์ ส่วนคำว่าปัจจุบันธรรมโม หมายถึงหลวงตาท่านสอนว่าคนเราควรจะอยู่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อันนี้เป็นหลักหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ทุกคนสามารถนอนหลับได้โดยไม่มีกังวล ถึงเวลานอนบอกตัวเอง ตอนนี้ถึงเวลานอนแล้ว เรื่องอะไร งานการอะไรที่จะคิด วางเอาไว้ก่อนไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดถึงมัน อันนี้เป็นหลักหนึ่งของข้าพเจ้าที่ทำให้ยิ้มได้ทุกวัน          อีกอันหนึ่ง คือ  การพิจารณา และการละวาง  เราทุกคนต้องมีสิ่งที่เข้ามากระทบใจ ถ้าสิ่งที่เราไม่ชอบมากระทบใจ หลวงตาท่านสอนว่าต้องพิจารณาตัวเอง ท่านสอนข้าพเจ้าว่า อย่านำจิตแส่ส่ายออกไปข้างนอก ให้นำจิตกลับเข้ามาที่ตัวเอง และพิจารณาตัวเอง ...สิ่งที่คนอื่นพูดจริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ วางไปเลยไม่ต้องคิดแล้ว แต่ถ้าใช่อย่างที่เขาว่า ก่อนที่จะวางจะต้องแก้ไข..คนที่ผิดแล้วแก้ไขได้ ถือว่าประเสริฐมาก ประเสริฐกว่าคนที่ทำดีอยู่แล้วแล้วทำดีต่อไปอีก เมื่อพิจารณาแล้ว หลังจากนั้นก็ละวาง หมายความว่าจะไม่เก็บเรื่องเหล่านั้นมาหมกมุ่นครุ่นคิดต่อ เพราะว่าจะทำให้จิตของเราเศร้าหมอง.. “
          " ส่วนเคล็ดลับที่ 3 อยากจะแนะนำบุญใหญ่ที่ทำได้ไม่ยาก เพราะมันอยู่ที่ใจเราเอง เป็นทานที่เรียกว่า อภัยทาน หมายความว่าใครมาทำไม่ดีกับเราแทนที่เราจะไปครุ่นคิด คับแค้น ให้อภัยเขาไปเลย  เมื่อเราให้อภัย มันเกิดความโล่ง ความสบายที่ไม่ต้องมานั่งครุ่นคิดเรื่องคับแค้นอีก หลวงตาท่านบอกว่าทานอะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าอภัยทาน ถ้าเขาทำผิดกับเราให้อภัย เราได้ทานใหญ่ได้บุญมากแล้วใจเราก็สบายด้วย”
          ธรรมบรรยายในวันนั้นยังทรงแนะนำเคล็ดลับในการฝึกสติโดยการนั่งสมาธิ โดยทรงเน้นว่า คนเราไม่ว่าทำอะไรทั้งสิ้น ต้องมีสติ สติคือการระลึกรู้  โดยการนั่งสมาธินั้น วัตถุประสงค์จริง ๆ คือต้องการให้จิตเราอยู่นิ่งไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
          คำบริกรรมคือคำที่ใช้กำกับการกำกับจิตเราเองให้นิ่งอยู่กับที่ จะใช้อะไรก็ได้จะเป็นพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วแต่ถนัด ตัวข้าพเจ้าใช้พุทโธ...ขอนำคำสอนของลูกศิษย์ของหลวงตาอีกท่านหนึ่ง ชื่อ  พระอาจารย์อินทวาย ท่านสอนว่า มี 2 เคล็ดสำหรับการนั่งสมาธิ อันแรกคือไม่กำหนดลมหายใจเลย กำหนดอยู่ที่คำว่าพุทโธ ๆ ๆ แล้วลองอย่างนี้ 5 นาที  อีกอันหนึ่ง ท่านสอนว่าหายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับ 2 หายใจเข้าอีกนับ 3 หายใจออกนับ 4 ทำอย่างนี้ถ้าได้ถึง 100 โดยไม่หยุดเลย คือ หายใจเข้าเป็นเลขคี่ ออกเป็นเลขคู่ 1-100 โดยไม่งงไม่สับสนเลยใช้ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ไม่ต้องไปกำหนดจิตที่ไหนเลยทำซ้ำ หายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับสอง  ทำไปเรื่อย ๆ  อันนี้จริง ๆ ไม่ได้ฝึกอะไร ฝึกสติ ถึงได้ว่า สติสำคัญมาก คนนั่งสมาธิใหม่ ๆ ข้าพเจ้าบอกเสมอว่า 5 นาทีพอ แต่จิตของเราจะต้องไม่วอกแวก ออกไปไหน ไม่คิดเรื่องอื่นเลย...เมื่อจิตสงบนิ่งจะทำให้เกิดปัญญา“          โอกาสนี้ ยังรับสั่งถึงธรรมะที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสอนและเน้นอยู่เสมอ นั่นคือ  “ ให้มีสติและสำคัญที่สุดให้สำนึกรู้ในหน้าที่ที่ตัวเองมี ในฐานะที่ข้าพเจ้าเกิดเป็นลูกของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ท่านสอนให้รำลึกรู้ถึงหน้าที่ที่ต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านบอกว่าพวกเราอยู่ได้ก็เพราะประชาชน เพราะฉะนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อประชาชนคนไทย
          พร้อมทั้งทรงตอบคำถามถึงพลังใจยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทรงทำงานลุล่วง แม้ว่าจะทรงพระประชวร 
          “ พลังใจใหญ่มีจาก 3 พระองค์ด้วยกันที่เป็นแบบอย่างในการทำงานเพื่อส่วนรวม  พระองค์แรก คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระองค์ที่ 2 คือสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  เพราะว่าตั้งแต่เด็กมาเห็นตัวอย่างจากพ่อจากแม่ที่ทำงานทุกอย่างเพื่อประชาชน  เราทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหน อันนี้เป็นแก่นสารของชีวิต ยิ่งเราทำให้เพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหนนี่มันเป็นความปลาบปลื้มที่ย้อนเข้ามาหาเราทำให้มีพลังใจยิ่งขึ้นที่จะทำงาน  และองค์ที่ 3 ที่เป็นแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าคือหลวงตามหาบัว  ซึ่งท่านเป็นพ่อบุญธรรม “           เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ รับสั่งว่า ทีแรกกังวลว่าจะมางานในวันนี้ไม่ได้  จริง ๆ แล้วข้าพเจ้าไม่สบายตั้งแต่ต้น เป็นโรคที่เรียกว่า Systemic Lupus Erythematosus  คือเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง  คือพูดง่าย ๆ ถ้าพูดกับคนไทยเป็นโรคอย่างพุ่มพวง ...ซึ่งที่ผ่านมาหลายปี มันจะ Attack ที่กระดูกเป็นส่วนใหญ่ เมื่อวานกระดูกมือนี่บวมไปหมด  แล้วก็เจ็บปวดมาก  ตลอด 3 วันข้าพเจ้าใช้ฉีดยาแก้ปวด แล้วก็ทำงานเอา           เมื่อวานนี้กลับมาถึงกรุงเทพฯ มาในสภาพแย่เต็มทน  เพราะปวดทนไม่ไหว หมอฉีดสเตียรอยด์บล็อกไว้ไม่ให้เป็นมากกว่านี้ แล้วก็ฉีดยาแก้ปวดด้วย อันนี้เป็นอะไรที่เป็นอุปสรรคเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าก็คิดว่าจะต้องข้ามมันให้ได้ ตั้งใจจะพยายามทำงานตามเจตนารมณ์ จริงๆ แล้วหมอบอกว่าให้พัก ตั้งแต่วินาทีนี้ เมื่อคืนนี้ คุณหมอต่างๆ ก็มาเต้นอยู่ข้างเตียงบอกว่าให้พัก ก็บอกเขาว่าอาจจะลาพักได้ราวๆ เดือนกันยายน ต้องดูว่าจะเคลียร์ได้ตรงไหนก็พัก...
          ข้าพเจ้าคิดว่าจริงๆ แล้ว ธรรมะอีกอย่างหนึ่ง คือ การที่เรานั่งสมาธิพอจิตสงบร่างกายมันได้พักไปด้วย อันนี้เป็นเคล็ดที่ควรทำอย่างยิ่ง นอกจากทั้ง 3 พระองค์ ที่เปรียบเหมือนธงชัยที่นำให้ข้าพเจ้าทำงาน ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ ความรัก ความห่วงใยจากประชาชนที่มีความรักให้มากมาย อันนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าอย่างยิ่งเหมือนกัน “ เจ้าฟ้าหญิงทรงกล่าวทิ้งท้าย--จบ--

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก